Vaginal Microbicides May Prevent More Infections In Men Than Women
Vaginal microbicides currently in clinical trials may be the only weapon that will protect women against infection from HIV. Yet, under likely circumstances, these microbicides may be of more benefit to men than women, according to a new UCLA AIDS Institute study.
The study, which used novel mathematical models to simulate clinical trials and population-level transmission of HIV, appears July 7 in the online issue of Proceedings of the National Academy of Sciences
"At the moment, there is absolutely nothing that women can do to protect themselves from HIV --condoms are not in women's control," said senior study author Sally Blower, professor of psychiatry and biobehavioral sciences at the Semel Institute for Neuroscience and Human Behavior at UCLA and a member of the UCLA AIDS Institute. "Drug companies are developing vaginal microbicides to provide direct protection to women and basically empower them so women have some preventive measure that's under their control."
Microbicides are compounds that can be applied inside the vagina to protect against HIV and other sexually transmitted diseases. Pharmaceutical companies are currently conducting trials of second-generation microbicides that are based on antiretroviral, or ARV, drugs, Blower noted.
The UCLA study raises concerns that microbicides could lead to drug resistance if they are used by HIV-positive women and that this risk may be masked under current clinical trial designs -- necessitating significant caution if the microbicides are licensed for use by the general public.
The researchers developed the mathematical models to determine if ARV-based microbicides that could cause moderate to high levels of drug resistance might pass clinical trials. They used epidemiological, clinical and behavioral data to construct models for both clinical trials and heterosexual transmission of HIV.
The models were based on the Phase 3 clinical trial for second-generation microbicides now under way in South Africa, Tanzania, Rwanda and Belgium. This trial is a 12-month, placebo-controlled study involving 10,000 participants.
The researchers developed simulations for two scenarios: one for high-risk microbicides, in which there is a high probability that the vagina will absorb dapivirine, the ARV drug in the microbicide; the other for low-risk microbicides, with a low probability of absorption. The team created the two scenarios because it is not currently known if ARV-based microbicides will be low- or high-risk.
The researchers found that men would likely benefit more than women if the microbicides' efficacy for women was less than 50 percent and if adherence was less than 60 percent. This would occur if HIV-positive women used microbicides and developed drug-resistant strains of HIV that are then less likely to be transmitted to men.
In the high-risk scenario, for instance, the microbicide could prevent infection in up to 21 percent of women and up to 27 percent of men. In the low-risk scenario, the microbicide would be of less benefit, preventing infection in up to 17 percent of women and 18 percent of men.
"The antiretroviral drugs within these microbicides are the same as those used to treat people who are infected with HIV, so there is great expectation that these microbicides will be very effective," said first author Dr. David Wilson, of the National Centre in HIV Epidemiology and Clinical Research at Australia's University of New South Wales.
"But the concern is that these microbicides are going to lead to drug resistance," he said.
The concern about drug resistance arises from the fact that women in the current clinical trial are being tested once a month for HIV infection and those found to be infected are dropped from the trial, according to researchers.
"Since monthly testing will take place in the dapivirine trial, we predict that few, if any, cases of acquired resistance will arise during the trial, even if the drug is readily absorbed (i.e., the microbicide is high risk)," the researchers write. "Therefore our analyses have shown that high-risk microbicides could pass Phase III trials, as their potential to cause resistance will be masked by frequent testing."
Other authors of the study are Paul Coplan, of the University of Pennsylvania School of Medicine, and Mark Wainberg, of McGill University's AIDS Centre at Montreal's Jewish General Hospital.
The International Partnership for Microbicides, the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, and the Australian Research Council funded this study.
7 ความคิดเห็น:
เนคเทค ยกระดับซอฟต์แวร์ไทย
นายกว้าน สีตะธนี รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค ในฐานะเป็นประธานฯ กล่าวว่า เนคเทค ได้ร่วมมือกับริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด จัดอบรมหลักสูตร Linux Internal ในระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2551 เพื่อยกระดับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ลินุกซ์ในประเทศไทยให้สามารถมีส่วนร่วมพัฒนาระบบปฏิบัติการในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งสร้างความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเชิญวิทยากร Mr.Srivatsa Vaddagiri และ Mr.Bharata B Rao เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมบนลินุกซ์ จากประเทศอินเดีย พร้อมทั้ง Mr.Hugh D Miller ตัวแทนจากศูนย์ IBM ลินุกซ์ เทคโนโลยี เข้าร่วมบรรยาย ทั้งนี้มีเข้าอบรมอบรมหลักสูตร Linux Internal โดยเป็นบุคลากรจากภาครัฐและเอกชน อาจารย์มหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้น 55 คน
รองผอ. เนคเทค กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการพัฒนาลินุกซ์ในประเทศไทยจะเป็นการปรับแต่งส่วนติดต่อผู้ใช้ (interface)ส่วนติดตั้ง (installer) และการแสดงผลรวมถึงภาษาถิ่น (Localization) เป็นหลัก ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการหรือส่วนติดต่ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ไม่ได้มีการพัฒนาเพิ่มเติมจากฝั่งของประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากความรู้และประสบการณ์ในการแก้ไขปรับแต่งตัวระบบปฏิบัติการ (Kernel)หรือส่วนติดต่อฮาร์ดแวร์ (Driver) นั้น จึงทำให้นักพัฒนาไทยมีน้อยมาก ดังนั้นการจัดการฝึกอบรมดังกล่าว จึงเป็นการส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้แพร่หลาย
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
ชนกพร บุญศาสตร์ รายงาน
ระดมพลังรุกสถิติไอที กระตุ้นระบบ จัดการภาครัฐ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (10 ก.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติได้จัดงานสัมมนา ประจำปี 2551 สสช. เชิงรุก ตอน : สถิติเพื่อความอยู่รอดของประเทศ จัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมี นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เป็นประธานเปิดสัมมนาฯ
นายมั่น พัธโนทัย รมต.กระทรวงไอซีที กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติมีบทบาทหลักในฐานะที่เป็นหน่วยงานผลิตสถิติที่สำคัญ สามารถนำไปใช้ในการเตือนภัยของประเทศได้ในหลายๆ มิติ ทั้งนี้ได้มีการนำเสนอเข้า ครม.เป็นระยะๆ ตลอดจนเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังได้พยายามผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการเชื่อมโยงบูรณาการข้อมูลภาครัฐ เพื่อการใช้ประโยชน์และแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันให้เกิดประสิทธิภาพและมีความคุ้มค่ามากที่สุด
ด้าน นางธนนุช ตรีทิพยบุตร เลขาธิการสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติมิได้หยุดยั้งที่จะจัดทำสถิติให้ครบเครื่องในทุกมิติ เพื่อสนับสนุนภาครัฐในการกำหนดให้เกิดนโยบาย วางแผนและออกมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะความเป็นอยู่ของประชาชน อันได้แก่ ความมั่นคงของมนุษย์ การทำมาหากิน การประกอบอาชีพ ผลกระทบจากภาวะเศรษกิจและสังคม และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชน รวมทั้งความคิดเห็นของประะชาชนที่สะท้อนออกมา ขณะเดียวกันได้ชี้ให้เห็นทิศทางที่ภาครัฐจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วย
เลขาธิการ สสช. กล่าวต่อว่า สำหรับในภาคการเกษตร จะเป็นพลังสำคัญในการสร้างครัวโลกนั้น พบว่า GDP ภาคการเกษตรมีแนวโน้มลดลงอย่างตอเนื่องจากปี 2525 จนถึงปี 2540 แต่มีทิศทางที่ดีขึ้นในปี 2550 เนื่องจากผลผลิตและราคาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่พื้นที่ถือครองทำการเกษตรได้ลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2536 โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าว อย่างไรก็ตามรายได้ของครัวเรือนภาคเกษตรยังจัดว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าาชีพอื่น ดังนั้นรัฐจะต้องให้ความสำคัญเพื่อให้ประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง
นางธนนุช กล่าวอีกว่า ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น พบว่า ประชาชนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยลดปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินลง โดยเฉพาะเบนซิน 95 ส่วนดีเซลยังทรงตัว สำหรับค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครัวเรือนในภาพรวมยังเพิ่มขึ้นจาก 1,464 ต่อเดือนต่อครัวเรือนในปี 2550 เป็น1,770 บาท ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2551 ในขณะที่ปัจจุบันพบว่า ภาวะการทำงานของประชากรมีปัญหาเนื่องมาจากอัตราการว่างงาน ร้อยละ1.5 น้อยกว่าประเทศอื่น รวมทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิ อเมริกาที่มีภาวะการว่างงานประมาณร้อยละ 5.5 ออสเตรเลียประมาณร้อยละ 4.3 และญี่ปุ่นร้อยละ 4
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
รายงาน : ภูริลาภ เรืองมณี
เอแบคทุ่ม 15 ล้านให้ดิจิคราฟต์ เนรมิตเป็น ม.บนโลกไซเบอร์
นายบัญชา แสงหิรัญ อธิการบดี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค (ABAC) กล่าวว่า ขณะนี้ แนวโน้มการใช้งานออนไลน์ในประเทศไทยมีการเติบโตที่รวดเร็ว จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มเป็น 9,320,000 คน ส่งผลให้มูลค่าตลาดเกมออนไลน์สูงกว่า 2,700 ล้านบาทในปี 2550 และมีอัตราการโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี อีกทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมด้านไอทีจากภาครัฐ และตลาดการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเชื่อมต่อเข้าสู่โลกออนไลน์ ดังนั้นเอแบคจึงร่วมกับบริษัทดิจิคราฟต์ สร้างสังคมออนไลน์แบบเสมือนจริงด้วยแนวคิด “U-Town” (University Town) คือ มหาวิทยาลัยเสมือนจริงแห่งแรกของไทยบนโลกออนไลน์
อธิการบดี ม.อัสสัมชัญ กล่าวต่อว่า “U-Town” จะใช้เป็นแหล่งหาความรู้ที่ปลอดภัย และสร้างสรรค์ พัฒนาขึ้นจากการร่วมทุนระหว่างเอแบค และบริษัทดิจิคราฟต์ฯ ด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาท เพื่อสร้างเอแบคในรูปแบบ3 มิติ คล้ายๆ กับในแบบของเกม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะนักศึกษา และผู้ใหญ่ที่ต้องการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ โดยเข้าไปที่ www.utown.in.th ที่จะเป็นประตูแรกที่ นศ.และผู้สนใจจะเข้าสู่โลกการศึกษาเสมือนจริงนี้ ตัวเว็บไซต์นี้มีหน้าที่เพื่อจัดระบบข้อมูลและการลงทะเบียน (Register System) การสร้างระบบกระทู้ถาม-ตอบ (Web Board) การประกาศกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลของแต่ละสถาบันการศึกษาที่รวมอยู่ใน U-Town ด้วย
ด้าน นายวิวัฒน์ วงศ์วราวิภัทร์ ประธานกรรมการ บริษัท ดิจิคราฟต์ จำกัด ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯ ได้รับเกียรติจากเอแบค ที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในการนำร่องจัดทำโครงการ U-Town โดยได้รับโจทย์จากทางเอแบค และทางบริษัทฯ ก็มีแนวคิดที่จะทำชุมชนออนไลน์ในรูปแบบดังที่กล่าวข้างต้น รูปแบบของ U-Town ไม่ใช่มีเพียงการเรียนการสอนแบบในชั้นเรียน และมีเว็บไซต์คอมมูนิตี้เท่านั้น แต่จะเป็นแหล่งเชื่อมโยงโลกของการศึกษาและโลกธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน ในเบื้องต้น U-Town จะมุ่งเจาะไปที่กลุ่ม นศ.เอแบคเป็นหลัก และในอนาคตทางบริษัทฯ จะจัดทำแพลตฟอร์มให้สถาบันอื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบของ U-Town ด้วย
ปธ.กก.บ.ดิจิคราฟต์ฯ กล่าวต่อว่า นอกจากกลุ่มลูกค้าส่วนมากที่เป็นนักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลกแล้ว และบริษัทฯ ยังมองกลุ่มเป้าหมายรองในกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ที่ 15 - 18 ปี ที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสที่จะเข้ามาทดลอง และเรียนรู้การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย รวมถึงเข้าไปชมบรรยากาศสถานที่ อาคารเรียนต่าง ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ตัวเองสนใจได้เสมือนกับเข้ามาสัมผัสการเรียนจริง อีกทั้งยังจะเปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนเริ่มทำงาน จนถึงกลุ่มคนวัยทำงานแล้วได้มีโอกาสเข้าร่วมสังคมนี้อีกด้วย โดยการสมัครเข้ามาเป็นพลเมืองใน U-Town ใช้สิทธิในการทำธุรกรรมต่างๆ แต่จะมีการกำหนดขอบเขตของสิทธิที่พลเมืองในระดับต่างๆ พึงกระทำได้
“U-Town เปรียบเสมือนอีกโลกหนึ่งของการใช้ชีวิตจริง ภายใต้คำขวัญ “Another World of Life” ในโลกของ U-Town จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ชีวิตได้เสมือนจริงที่สุด เพราะบนโลกของ U-Town จะมีทั้งส่วนที่จำลองจากสถานที่ๆ มีอยู่จริงในขณะนี้ เช่น อาคารเรียน บรรยากาศทั่วไปภายในมหาวิทยาลัย และส่วนที่สร้างขึ้นจากจินตนาการ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม หรือย่านใจกลางเมือง ที่จะเป็นเสมือนแหล่งรวมความบันเทิงของพลเมืองใน U-Town รวมไปถึงระบบพื้นฐานต่างๆที่โลกจริงมี เช่นระบบเงินตราของตัวเอง (Monetary System) ระบบวันเวลาตามจริง (Day-Time System) ระบบฤดูกาล” นายวิวัฒน์ กล่าว
ส่วน นายสุรศักดิ์ อารีย์สว่างกิจ ผู้จัดการทั่วไป บ.ดิจิคราฟต์ฯ กล่าวว่า สำหรับแผนในการพัฒนา U-Town แบ่งเป็น 3 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 ที่นำมาเปิดตัวในครั้งนี้ โดย นศ.เอแบค สามารถนำรหัสประจำตัวนักศึกษา มาลงทะเบียนที่ www.utown.in.th และ นศ.จะมีหน้าเพจให้ออกแบบความเป็นตัวเอง เรียกส่วนนี้ว่า U-Net และมีลักษณะการทำงานคล้ายกับ SNS หรือ Social Network System ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอย่างมากใน ขณะนี้ เช่น เว็บไซต์ Hi 5 หรือ Facebook แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือ U-Net ได้รวบรวมฟังก์ชันการทำงานของ Hi 5 และ Facebook ไว้ในที่เดียวกัน ทำให้ U-Net มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อีกทั้ง นศ.ที่เป็นสมาชิกยังใช้ U-Net ในการรับข่าวสารของทางมหาวิทยาลัยได้อีกช่องทางหนึ่ง
ผู้จัดการทั่วไป บ.ดิจิคราฟต์ฯ กล่าวต่อว่า ส่วนการพัฒนาในเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 จะเป็นการเชื่อมตัวภาคการศึกษากับภาคธุรกิจ ที่นักศึกษาหรือบุคคลทั่วไปที่เป็นสมาชิกของ U-Town สามารถทำธุรกรรมด้านทะเบียน การเงิน และการซื้อขายสินค้าในรูปแบบของอี-คอมเมิร์ซได้ โดยรูปแบบของการซื้อขายใน U-Town จะมีลักษณะโดดเด่นตรงที่ พลเมืองสามารถเดินเลือกซื้อสินค้าเสมือนจริงแบบ 3 มิติ และมีการพูดคุยโต้ตอบกับคนขายแบบเรียลไทม์ อีกทั้งคนขายยังให้ข้อมูลของสินค้านั้น ๆ ได้จริงอีกด้วย ขณะที่การชำระเงินใน U-Town ทั้งจะมีระบบเงินของ U-Town และชำระผ่านบัตรเครดิต ในอนาคตจะมีความร่วมมือกับแบรนด์สินค้า ร้านค้าชั้นนำเสมือนกับการเดินเลือกซื้อสินค้าจริงในห้างสรรพสินค้าถือเป็นช่องทางที่จะสร้างรายได้ให้แก่ U-Town
นายสุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในโลกเสมือนจริงนี้ นศ.จะมีตัวแทนที่เรียกว่า “อวาตาร์” ที่ออกแบบตกแต่งให้เหมือนกับตัวเองได้ และบริษัทฯ ยังคาดหวังว่า U-Town จะเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์บนโลกออนไลน์ในอนาคต รวมถึงมีแผนในการเปิดหลักสูตรพิเศษแบบออนไลน์ ใน E-Learning Center หรือแม้แต่การอนุญาตให้นักศึกษาขอจองห้องเพื่อติววิชากันแบบ Real Time ใน E-Classroom ได้ หรือสนุกไปกับ Entertainment Complex ต่างๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ชมคอนเสิร์ท หรือ สนุกกับกิจกรรมต่างๆ ภายใต้กรอบและกฏหมายที่กำหนดขึ้นในเมือง U-Town เป็นต้น ทั้งนี้การพัฒนางานในเฟสที่ 2 จะเสร็จในช่วงต้นปี 2552 และเฟสที่ 3 จะสมบูรณ์ช่วงกลางปีหน้า เชื่อว่าจะรองรับประชากรบนโลกออนไลน์ได้กว่า 2 ล้านคน
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
รายงาน : ดารณี โต๊ะสวัสดิสุข
กรุงเทพฯ--11 ก.ค.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง
บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ จอแอลซีดี มอนิเตอร์ G24 รุ่น G24oid จอแรกของโลก ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้ที่รักการเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ ด้วยหน้าจอไวด์สกรีน CrystalBrite (จอกระจก) ขนาด 24 นิ้ว ให้ภาพคมชัดสมจริง รองรับการทำงานด้านมัลติมีเดีย และกราฟิกหนักๆ ด้วยความละเอียดในการแสดงภาพสูงสุด 1920x1200 พิกเซล (Full HD) ค่าความสว่างถึง 400 nit โดยมีอัตราความคมชัด (Contrast Ratio) สูงสุด 50000:1 ความเร็วตอบสนอง 2 มิลลิวินาที พร้อมฟังก์ชันตัดการสะท้อนของแสง และ Acer eColor Management ระบบปรับแสงและความคมชัดของภาพ ผนวกกับช่องเชื่อมต่อแบบ DVI, HDMI ซึ่งให้ภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่มีสะดุด สามารถปรับเฉดสีได้สูงถึง 16.7 ล้านสี ด้วยดีไซน์ดุดัน บึกบึน ในโทนสีส้ม คอปเปอร์ (Copper) เหมาะกับคอเกมเมอร์โดยเฉพาะ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอเซอร์ทั่วประเทศ หรือที่เอเซอร์ คอลล์ เซ็นเตอร์ ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2685 4311 หรือคลิกไปที่ www.acer.co.th
อี-คอป เตือนภัยแฮกเกอร์ใช้ฟังก์ชั่น DNS
โดย NOL-News Online : มติชน
รายงานจาก อี-คอป ผู้นำในการจัดหาบริการด้านการคุ้มครองความปลอดภัยของข้อมูล และการบริหารความเสี่ยง ระบุว่า นักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย และกูเกิ้ล อิงค์ ประเมินว่า มีเซิร์ฟเวอร์ราว 68,000 เครื่องบนอินเตอร์เน็ตที่ทำให้คอมพิวเตอร์ที่ขาดการรักษาความปลอดภัยเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ของผู้หลอกลวง
Domain Name System (DNS) เป็นฟังก์ชั่นอินเตอร์เน็ตที่ใช้ในการแปลชื่อโดเมนที่อ่านออกได้ให้เป็นไอพีแอดเดรส ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ระบุคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องบนอินเตอร์เน็ต เช่น แปล yahoo.com เป็น 216.109.112.135 เมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยพิมพ์ที่อยู่เว็บบนแถบแอดเดรสในอินเตอร์เน็ตเบราว์เซอร์ของคุณ เช่น www.yahoo.com เซิร์ฟเวอร์ DNS จะแปลชื่อโดเมนให้เป็นไอพีแอดเดรสที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ซึ่งโฮสต์เว็บเพจของ Yahoo และคอมพิวเตอร์ของคุณจะสามารถค้นหาและเรียกดูข้อมูลจาก www.yahoo.com ได้ทันที การกำหนดค่า DNS ส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ
เมื่อซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย นั่นคือ โทรจันที่เปลี่ยน DNS ถูกติดตั้งในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ ซอฟต์แวร์นั้นก็จะปรับเปลี่ยนการตั้งค่าคอมพิวเตอร์เพื่อใช้เซิร์ฟเวอร์ DNS ปลอม เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ถูกติดตั้งโดยอาชญากรทางคอมพิวเตอร์ เพื่อแอบอ้างและปลอมแปลง โดยจะมีการแปลชื่อโดเมนบางชื่อให้เป็นไอพีแอดเดรสที่เป็นอันตราย ส่งผลให้เหยื่อถูกนำทางไปสู่เว็บไซต์หลอกลวง ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของธนาคารเพื่อทำธุรกรรมออนไลน์ เขาพิมพ์ที่อยู่เว็บ แต่ที่จริงแล้วเซิร์ฟเวอร์ DNS ปลอมนำเขาไปยังเว็บไซต์หลอกลวงที่มีลักษณะเหมือนกับเว็บไซต์ของธนาคาร ดังนั้นเหยื่อจึงเปิดเผยหมายเลขบัญชีและรหัส PIN โดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะถูกบันทึกไว้โดยอัตโนมัติ และผู้หลอกลวงจะสามารถนำเอาข้อมูลดังกล่าวไปใช้เพื่อเข้าถึงบัญชีธนาคารของเหยื่อและทำการโอนเงิน
สำหรับเซิร์ฟเวอร์ DNS ปลอมไม่ได้แสดงผลลัพธ์ที่เป็นเท็จเสมอไป ซึ่งทำให้เหยื่อเชื่อว่าตนเองสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ แฮ็คเกอร์จึงมีอำนาจควบคุมอย่างเต็มที่ในการนำเหยื่อไปยังเว็บไซต์อันตรายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ซึ่งเว็บไซต์ปลอมเหล่านี้ถูกโหลดด้วยโค้ดที่เป็นอันตราย
ทั้งนี้ ผู้ดูแลด้านระบบไอทีควรที่จะปกป้องเครือข่ายและสร้างระบบรักษาความปลอดภัย ด้วยการติดตั้งและอัพเดตโปรแกรมป้องกันไวรัส โปรแกรมป้องกันโทรจัน โปรแกรมป้องกันสปายแวร์ และทำการอัพเดตข้อมูลไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และติดตั้งแพตช์สำหรับระบบปฏิบัติการ หรือแอพพลิเคชั่น นอกจากนี้ยังต้องทำการสแกนบนคอมพิวเตอร์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงผู้ใช้ควรทำงานตามปกติโดยใช้บัญชีผู้ใช้ที่มีสิทธิการเข้าถึงเท่านั้น
Credit : News Online : มติชน
http://www.arip.co.th
รายงานข่าวโดย : นางสาวอารยา เลาหะพันธ์ Edtech15 Code: 51063709
Vaginal Microbicides May Prevent More Infections In Men Than Women
Vaginal microbicides currently in clinical trials may be the only weapon that will protect women against infection from HIV. Yet, under likely circumstances, these microbicides may be of more benefit to men than women, according to a new UCLA AIDS Institute study.
The study, which used novel mathematical models to simulate clinical trials and population-level transmission of HIV, appears July 7 in the online issue of Proceedings of the National Academy of Sciences
"At the moment, there is absolutely nothing that women can do to protect themselves from HIV --condoms are not in women's control," said senior study author Sally Blower, professor of psychiatry and biobehavioral sciences at the Semel Institute for Neuroscience and Human Behavior at UCLA and a member of the UCLA AIDS Institute. "Drug companies are developing vaginal microbicides to provide direct protection to women and basically empower them so women have some preventive measure that's under their control."
Microbicides are compounds that can be applied inside the vagina to protect against HIV and other sexually transmitted diseases. Pharmaceutical companies are currently conducting trials of second-generation microbicides that are based on antiretroviral, or ARV, drugs, Blower noted.
The UCLA study raises concerns that microbicides could lead to drug resistance if they are used by HIV-positive women and that this risk may be masked under current clinical trial designs -- necessitating significant caution if the microbicides are licensed for use by the general public.
The researchers developed the mathematical models to determine if ARV-based microbicides that could cause moderate to high levels of drug resistance might pass clinical trials. They used epidemiological, clinical and behavioral data to construct models for both clinical trials and heterosexual transmission of HIV.
The models were based on the Phase 3 clinical trial for second-generation microbicides now under way in South Africa, Tanzania, Rwanda and Belgium. This trial is a 12-month, placebo-controlled study involving 10,000 participants.
The researchers developed simulations for two scenarios: one for high-risk microbicides, in which there is a high probability that the vagina will absorb dapivirine, the ARV drug in the microbicide; the other for low-risk microbicides, with a low probability of absorption. The team created the two scenarios because it is not currently known if ARV-based microbicides will be low- or high-risk.
The researchers found that men would likely benefit more than women if the microbicides' efficacy for women was less than 50 percent and if adherence was less than 60 percent. This would occur if HIV-positive women used microbicides and developed drug-resistant strains of HIV that are then less likely to be transmitted to men.
In the high-risk scenario, for instance, the microbicide could prevent infection in up to 21 percent of women and up to 27 percent of men. In the low-risk scenario, the microbicide would be of less benefit, preventing infection in up to 17 percent of women and 18 percent of men.
"The antiretroviral drugs within these microbicides are the same as those used to treat people who are infected with HIV, so there is great expectation that these microbicides will be very effective," said first author Dr. David Wilson, of the National Centre in HIV Epidemiology and Clinical Research at Australia's University of New South Wales.
"But the concern is that these microbicides are going to lead to drug resistance," he said.
The concern about drug resistance arises from the fact that women in the current clinical trial are being tested once a month for HIV infection and those found to be infected are dropped from the trial, according to researchers.
"Since monthly testing will take place in the dapivirine trial, we predict that few, if any, cases of acquired resistance will arise during the trial, even if the drug is readily absorbed (i.e., the microbicide is high risk)," the researchers write. "Therefore our analyses have shown that high-risk microbicides could pass Phase III trials, as their potential to cause resistance will be masked by frequent testing."
Other authors of the study are Paul Coplan, of the University of Pennsylvania School of Medicine, and Mark Wainberg, of McGill University's AIDS Centre at Montreal's Jewish General Hospital.
The International Partnership for Microbicides, the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, and the Australian Research Council funded this study.
เจลทาช่องคลอดป้องกันเอดส์ ช่วยปัดเป่าชายมากกว่าหญิง
นักวิจัยออสเตรเลียพบข้อมูลใหม่ เจลทาช่องคลอดเพื่อป้องกันผู้หญิงติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพันธ์กลับปกป้องเพศชายติดเชื้อได้ดีกว่า
ทุกวันนี้ ผู้หญิงยังไม่มีเครื่องมือป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อเอชไอวี ต่างจากถุงยางสำหรับผู้ชาย เจลทาช่องคลอด หรือไมโครบิไซด์ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้หญิงปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย
ไมโครบิไซด์เป็นสารประกอบที่สามารถใช้ทาภายในช่องคลอดเพื่อป้องกันติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ปัจจุบัน บริษัทยาหลายแห่งกำลังทดสอบไมโครบิไซด์รุ่นสอง โดยใช้สารเออาร์วีต้านเชื้อไวรัส
ล่าสุด ทีมวิจัยจากสถาบันเอดส์ มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ศึกษาประสิทธิภาพของเจลทาช่องคลอดไมโครบิไซด์ โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์จำลองผลการทดสอบเจลทาป้องกันเอดส์ทางคลินิก และการติดเชื้อในระดับกลุ่มประชากร
ทีมวิจัยจำลอง 2 สถานการณ์ขึ้นมา สถานการณ์แรกไมโครบิไซด์ซึมผ่านช่องคลอดอย่างรวดเร็ว ทำให้เสี่ยงติดเชื้อสูง สถานการณ์ที่สอง ไมโครบิไซด์ซึมผ่านช่องคลอดช้า จึงป้องกันได้ดี หรือความเสี่ยงติดเชื้อต่ำ
ทีมวิจัยพบว่า ผู้ชายมีแนวโน้มได้ประโยชน์มากกว่าผู้หญิง ถ้าเจลไมโครบิไซด์มีประสิทธิภาพต่ำกว่า 50% และถ้าทาเจลติดช่องคลอดน้อยกว่า 60% กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงที่มีเชื้อเอชไอวีใช้ไมโครบิไซด์ และพัฒนาเอชไอวีสายพันธุ์ดื้อยา แต่ทำให้ผู้ชายมีโอกาสติดเชื้อน้อยลง
ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงได้มากที่สุด ไมโครบิไซด์สามารถป้องกันสตรีได้รับเชื้อเอชไอวีได้มากถึง 21% และป้องกันผู้ชายได้ 27% แต่ในกรณีความเสี่ยงติดเชื้อต่ำ ไมโครบิไซด์กลับเป็นประโยชน์น้อยลง โดยป้องกันสตรีติดเชื้อ 17% และป้องกันผู้ชายติดเชื้อ 18%
งานวิจัยของยูซีแอลเอแสดงความวิตกว่า หากนำไมโครบิโอไซด์ไปใช้ในสตรีที่ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว ผู้หญิงมีโอกาสดื้อยาสูง ดังนั้น หากเจลทาช่องคลอดไมโครบิไซด์ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา และใช้กันทั่วไป จึงจำเป็นต้องแสดงข้อความเตือนข้อจำกัดการใช้ให้ชัดเจน.
http://www.sciencedaily.com/releases/2008/07/080707171738.htm
http://www.komchadluek.net/2008/07/13/x_it_h001_210784.php?news_id=210784
ณศิริ เตชะเสน รายงาน
MIT จัดอันดับ 10 เทคโนโลยีใหม่ที่น่าจับตามองประจำปี 2008
นิตยสาร Technology Review ของ MIT จัดอันดับ 10 เทคโนโลยีใหม่ที่น่าจับตามอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ TR10 มีรายชื่อดังนี้ครับ
Modeling Surprise - การจำลองโมเดลความเสี่ยง (ผมอ่านแล้วนึกถึง Psychohistory)
Probabilistic Chips - ความผิดพลาดทางการคำนวณ (แบบน้อยมากๆ) ในชิปอาจเป็นผลดีต่ออายุแบตเตอรี
NanoRadio - สร้างตัวรับสัญญาณวิทยุด้วย carbon nanotube
Wireless Power - พลังไฟฟ้าแบบไร้สาย (เคยลงข่าวใน Blognone ไปแล้ว)
Atomic Magnetometers - เซนเซอร์วัดสนามแม่เหล็กขนาดเล็กมากๆ ซึ่งจะทำให้อุปกรณ์หลายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและถูกลง
Offline Web Applications - ในนิตยสารสัมภาษณ์คนของ Adobe คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก AIR
Graphene Transistors - สร้างทรานซิสเตอร์ด้วย graphene (แผ่นคาร์บอน ความหนา 1 อะตอม)
Connectomics - วาดแผนผังการเชื่อมต่อของเส้นประสาท เพื่ออธิบายต้นเหตุของโรคหลายๆ ชนิด
Reality Mining - ทำ data mining จากข้อมูลที่เก็บด้วยมือถือ เพื่ออธิบายพฤติกรรมมนุษย์
Cellulolytic Enzymes - เอนไซม์ที่ช่วยผลิตพลังงานชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แหล่งที่มา - MIT Technology Review ผ่าน Slashdot
http://www.blognone.com/node/7235
ผู้รายงาน : นายฉัตรพันธ์ นิลกำแหง
((edtech.15))
แสดงความคิดเห็น