Malaysian WiMax operator Packet One Networks began commercial services Tuesday, marking another step in the ongoing rollout of the broadband wireless technology.
"Our plan is to target 100,000 subscribers in the next 12 months," said Michael Lai, Packet One's CEO, in a telephone interview.
To achieve that goal, Packet One is pricing WiMax access just below the combined cost of an ADSL (asynchronous digital subscriber line) connection and a fixed-line telephone.
Under a promotional package offered with the launch of the service, a 1.2M bps (bits per second) WiMax link will cost 99 ringgit (US$30) per month, with a 12-month contract. A 2.4M bps connection will cost 229 ringgit under the same terms.
A statement released by the company did not offer an indication of what the service will cost when the promotion ends on Sept. 30.
By comparison, Telekom Malaysia's Streamyx ADSL service costs 99 ringgit per month, including a modem, for a 1M bps connection. A 2M bps connection costs 188 ringgit.
Packet One's pricing isn't bad, but fixed-line and wireless operators need to roll out even faster connections, said Dhillon Andrew Kannabhiran, a security consultant and organizer of the Hack In The Box security conferences, in Kuala Lumpur, Malaysia.
"I'm personally hoping to see speeds in the region of 10Mbps and above," Kannabhiran said. "2M bps and below isn't what I'd call broadband. Sure, it's fine for surfing and downloading mails, but you can forget about streaming video, like Apple TV, with anything less than 8M bps." Malaysia has seen relatively low penetration of broadband Internet services, with around 18 percent of households having such access, according to Malaysian government estimates.
That number is significantly lower than Asia's most connected markets, such as South Korea and neighboring Singapore, which have penetration rates of 93 percent and 78 percent, respectively.
Malaysia's government is determined to close this gap, hoping to connect 50 percent of households with broadband connections by 2010.
"The increase in broadband penetration is a catalyst to a more robust economy," said Shaziman Abu Mansor, Malaysia's minister of water, energy and communications, according to the transcript of a May speech.
Meeting that target would increase Malaysia's gross domestic product by 1 percent, or 6.7 billion ringgit, and create 135,000 new jobs, he said.
WiMax, alongside other technologies, figures prominently in Malaysia's broadband aspirations. The country has issued four WiMax licenses, using spectrum in the 2.3GHz and 2.5GHz bands. Packet One's service uses the 2.3GHz profile, the same version of the technology used in South Korea.
Packet One's WiMax service is initially aimed at consumers who want fixed-wireless access at home, but the company expects to roll out support for mobile users before the end of this year, Lai said.
Mobile access would require laptop users to have a special USB dongle. Intel, which invested 50 million ringgit in Packet One during May, will start shipping laptop chips that support WiMax later this year, but only in the U.S. These WiMax chipsets, which only support the 2.5GHz profile, will be offered to customers outside the U.S. next year as more WiMax networks come online.
Intel also plans to release versions of the chipset that support the 2.3GHz and 3.5GHz profiles next year.
8 ความคิดเห็น:
อยู่ต่างจังหวัดเตรียมใช้เน็ตไฮสปีดบนมือถือ
*******************************
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจซีดีเอ็มเอ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบซีดีเอ็มเอ 2000 1x EVDO ในพื้นที่ 51 จังหวัด ภายใต้ชื่อ “CAT CDMA” เปิดเผยว่า
ขณะนี้ แคท (CAT) เริ่มทำตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเออย่างเต็มที่หลังติดตั้งโครงข่ายแล้วเสร็จ โดยสร้างการรับรู้ผ่านแคท ซีดีเอ็มเอ ช็อป (CAT CDMA SHOP) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ภูเก็ต และนครราชสีมา ส่วนในพื้นที่อื่นจะวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของแคทซีดีเอ็มเอภายในร้านเอ็มลิงค์และบลิสเทล
จุดเด่นของแคทซีดีเอ็มเอ คือ บริการอินเทอร์เน็ตผ่านซีดีเอ็มเอที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลเฉลี่ย 600-1,400 กิโลบิต/วินาที และความเร็วสูงสุด 3.1 เมกะบิต/วินาที ความเร็วในการอัพโหลดข้อมูลเฉลี่ย 500-800 กิโลบิต/วินาที และสูงสุดได้ถึง 1.8 เมกะบิต/วินาที มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา และประชาชนที่ต้องการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ โดยค่าบริการจะขายพ่วงไปกับเครื่องโทรศัพท์และซิม ซึ่งมีค่าบริการในการโทรฯต่ำสุดเดือนละ 149 บาท ส่วนค่าบริการอินเทอร์เน็ตเดือนละ 99 บาท ซึ่งเป็นบริการในแบบรายเดือน (โพสเพด) ส่วนบริการแบบบัตรเติมเงิน (พรีเพด) จะเปิดให้บริการต้นปีหน้า ตั้งเป้าสิ้นปีจะมีลูกค้าประมาณ 1.8 ล้านราย มีรายได้ 600 ล้านบาท จากปัจจุบันมีลูกค้า 8 หมื่นราย
ส่วนปัญหาเรื่องโทรฯข้ามเครือข่ายติดยากและสายหลุด นายจิรายุทธ ชี้แจงว่า กำลังปรับปรุงโดยดึงโครงข่ายในพื้นที่ที่มีการใช้งานน้อยมาเพิ่มในพื้นที่ที่มีการใช้งานมาก
******************************
Credit : News Online : ไทยโพส
http://www.arip.co.th
รายงานข่าวโดย : นางสาวอารยา เลาหะพันธ์ Edtech15 Code: 51063709
ดีคอม จับมือพันธมิตส่ง DMA เขย่า ตลาดพีซีโลคัลแบรนด์ไทย
นายวิกร วิวิธคุณาภรณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอมกรุ๊ป จำกัด หรือ ดีคอม กล่าวว่า การที่ดีคอมเลือกเปิดตัวแบรนด์ DMA ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากมองเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ DMA ทำตลาดได้ประสบความสำเร็จ เพราะ DMA ได้รับการสนับสนุนดีเยี่ยม จากผู้ผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะซีพียูของเอเอ็มดี โดยจะทำให้แข่งขันด้านราคาได้ ใกล้เคียงกับเครื่องพีซีแบรนด์นอก โดย DMA ใช้แนวทางการเป็นคอมพิวเตอร์แบรนด์เนมมาตรฐาน แต่มีราคาประหยัด เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ ที่ผู้บริโภคมีความจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในทุกด้าน
ปธ.กก.บริหาร บ.ดีคอมฯ กล่าวต่อว่า ชื่อ “DMA” มาจากคำ 3 คำ คือ Durability หมายถึงความทนทาน Mobility หมายถึงความยืดหยุ่น คล่องตัว และ Amenity หมายถึง การอำนวยความสะดวกให้กับทุกคน การใช้ชื่อ DMA เป็นชื่อแบรนด์ เพราะเป้าหมายของสินค้ามุ่งตอบโจทย์ 3 ข้อนี้ให้แก่ผู้บริโภค ต่อจากนี้ไป DMA จะลงไปสัมผัสกับผู้บริโภคโดยตรงทั่วทุกภาคของประเทศ ผ่านการจัดงาน เดินสายร่วมกับพันธมิตรในพื้นที่ ทั้งนี้คาดว่าทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสสินค้าโดยตรง มีความเชื่อมั่น และได้เห็นความคุ้มค่าด้านราคา
นายวิกร กล่าวถึงโครงสร้างธุรกิจว่า การเป็นตัวแทนจำหน่ายไอทีของดีคอมกรุ๊ป เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ DMA แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ เนื่องจากดีคอมนำเข้าสินค้าชิ้นส่วนเอง มีโรงงานการผลิตเป็นของตนเอง ในขณะที่โลคัลแบรนด์ ต้องซื้อชิ้นส่วนผ่านตัวแทนจำหน่ายอีกทอดหนึ่ง DMA จึงได้เปรียบในแง่ราคา อีกทั้งดีคอมมีเครือข่ายดีลเลอร์กว่า 3000 รายทั่วประเทศ ที่ซื้อสินค้าชิ้นส่วนของดีคอมอยู่แล้ว ดังนั้น DMA ไม่ต้องไปสร้างพันธมิตรร้านค้ารายย่อยใหม่แต่อย่างใด รวมทั้งการบริการจะรวดเร็วกว่าโลคัลแบนด์ หรือ แบรนด์เมืองนอก ที่ต้องมีการพักสินค้าหลายทอด เพราะสินค้า DMA เมื่อเกิดปัญหาจึงนำมาเคลมตรงที่ดีคอมได้ทันที ทำให้ระยะเวลาในการบริการสั้นลง
ปธ.กก.บริหาร บ.ดีคอมฯ กล่าวอีกว่า สุดท้าย คือ เนื่องจากดีคอมเป็นผู้ค้าชิ้นส่วนที่มีชิ้นส่วนไอทีจำนวนมาก หลากหลายยี่ห้ออยู่ในมือ ดีคอมได้ทำโครงการ Dcom@click ที่ดีลเลอร์สามารถ สั่งผลิต DMA คอมพิวเตอร์ตามสเปคที่ต้องการได้ โดยที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ นั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดีคอมมั่นใจว่า DMA มาถูกเวลา ส่วนการตั้งเป้ายอดขายไว้ในช่วงแรกที่ 15,000 เครื่องในไตรมาสสุดท้ายปี 2551 ทั้งโน้ตบุ๊ค และพีซีรวมกัน และ 4 เดือนจากนี้ยอดขายเดสก์ท็อปน่าจะถึง 3,000 เครื่อง สินค้ากลุ่ม PC เน้นการทำตลาดไปที่นักศึกษา สถาบันการศึกษาและต่างจังหวัด ส่วนกลุ่มโน้ตบุ๊ค และเน็ตบุ๊ค นั้นจะเน้นกลุ่มคนเมือง กลุ่มคนที่จะใช้คอมพิวเตอร์เครื่องที่สองในชีวิตประจำวัน
แนวคิดคอมพิวเตอร์ช่วยชาติว่า คือ การให้ผู้บริโภคได้สัมผัสสินค้าคุณภาพในราคาประหยัดลงจากการร่วมมือกันของหลายฝ่าย รวมไปถึงการจัดหาโซลูชั่นในการใช้งาน DMA ร่วมกับพันธมิตรซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้บริโภคซื้อคอมพิวเตอร์ไปใช้ในงานที่ต้องการได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นระบบบัญชี ระบบการเรียนการสอนต่าง ๆ โดยเป็นแนวคิดเรื่องไอที ไฮบริดจ์ที่ดีคอมมุ่งสานต่อ และสุดท้ายคือการที่ DMA จะทำให้ผู้ค้าปลีก หรือ ดีลเลอร์ มีกำไรจากการขายที่เป็นธรรม เนื่องจากความแตกต่างของสินค้าที่นำเสนอพร้อมโซลูชั่นต่างๆ” นายวิกร กล่าว
ปธ.กก.บริหาร บ.ดีคอมฯ กล่าวด้วยว่า เมื่อดูสินค้าพีซีเดสก์ท็อปตัวเล็กสุดจะเปิดราคาขายปลีกที่ประมาณ 8,290 บาท และ โน้ตบุ๊ค DMA D1 เปิดราคาที่ 9,196 บาท หากเปรียบเทียบคุณภาพการประกอบ และ มาตรฐานสินค้าเดียวกัน เชื่อว่าไม่มีคู่แข่งรายใดให้ราคาต่ำกว่านี้ได้ ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่มีราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น ดีคอมมุ่งมั่นในการสร้าง DMA เป็นคอมพิวเตอร์ที่คุ้มค่า และ เหมาะสมกับตลาดอย่างแท้จริง อีกทั้งอยากให้คนไทยสร้างแบรนด์และสร้างคุณค่าในลักษณะนี้มาก ๆ ถ้าคนไทยช่วยกันทำมากๆ ประเทศไทยจะแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งนี้ เป้าหมายของ DMA คือ แข่งกับแบรนด์นอกให้ได้ ต้องการส่งออกสินค้าไปตลาดประเทศเพื่อนบ้านภายในปี 2552
ด้าน นายจักกฤษณ์ วัชระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเอ็มดี ฟาร์อีส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ดีคอมกรุ๊ปนับเป็นพันธมิตรหลักด้านช่องทางการจัดจำหน่ายของเอเอ็มดี ในการร่วมกันผลักดันแบรนด์“DMA” สู่ตลาด เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในครั้งนี้ เอเอ็มดียินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ DMA ด้วยการสนับสนุนแพลตฟอร์มการประมวลผล และกราฟฟิคที่มีสมรรถนะสูงของเอเอ็มดี ที่มีจุดเด่นในการผสมผสานทั้งสองสิ่งได้อย่างลงตัว ผู้ใช้จึงเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม กับความต้องการของแต่ละบุคคล โดยDcom@click จะเอื้อประโยชน์ให้กับทั้งคู่ค้า และ ลูกค้าในการสร้างสรรค์ฮาร์ดแวร์ ที่ไม่ว่าจะเป็นเดสก์ท็อป หรือ โน้ตบุ๊คที่ตรงกับความต้องการได้
ผจก.ประจำประเทศไทย บ.เอเอ็มดีฯ กล่าวอีกว่า ในตลาดเน็ตบุ๊คที่เอเอ็มดีให้การสนับสนุน โพรเซสเซอร์ เอมเบดเด็ด โซลูชั่น กับแบรนด์ DMA เช่นเดียวกับที่อินเทลทำตลาดกับเน็ตบุ๊คด้วยแพลตฟอร์มโพรเซสเซอร์ อะตอม โดยเร็วๆ นี้เอเอ็มดีจะนำแพลตฟอร์ม ฟีนิกส์ ที่เป็นซีพียูดูอัลคอร์ กินไฟต่ำเข้าสู่ตลาด โดยเรื่องนี้เอเอ็มดีได้หารือกับดีคอมมานาน โดยเชื่อว่าแม้ราคาผลิตภัณฑ์จะไม่ถูกมาก แต่ก็ให้ประสิทธิภาพคุ้มราคา เอเอ็มดีอยากให้ DMA ทำตลาดผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายที่มี ไม่ต้องการขายตรงเหมือนพีซีอินเตอร์แบรนด์ และนี่จะเป็นทิศทางที่เอเอ็มดีจะมุ่งไป เพื่อสนับสนุนคู่ค้าโดยเฉพาะต่างจังหวัด ในการทำโครงการจัด
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
โดย ชนกพร บุญศาสตร์
ไอซีที ยืนยัน ไทยไม่ปรับเวลาใหม่ แน่ หวั่นกระทบเศรษฐกิจ
พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน ผู้บัญชาการ สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จากกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ในวันที่ 23 ส.ค. 51 ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาให้เร็วกว่าปัจจุบันถึง 30 นาทีนั้น ตนยืนยันว่าไม่มีการปรับแก้หรือเปลี่ยนแปลงเวลามาตรฐานของประเทศแต่อย่างใด และการเผยแพร่ข้อมูลผ่านอีเมล์ ถือเป็นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน โดยขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้เจตนาบิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว ที่มีความผิดตามมาตรา 14 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 โดยการเผยแพร่ข้อมูลเท็จอีกทั้งยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เวลามาตรฐานของประเทศไทยเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกา ที่ประกาศใช้สมัยรัชกาลที่ 6 ที่กำหนดให้ประเทศไทยใช้เวลาตามมาตรฐานกรีนนีซ + 7 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2463 เป็นต้นไป และไม่เคยมีการประกาศเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้บัญชาการ สำนักคดีเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวต่อว่า การปรับเทียบเวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน มีสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีหน้าที่ในการจัดทำและรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทยตามระบบสากล และการปรับเทียบเวลามาตรฐานสามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ 1.การปรับเทียบที่ห้องปฏิบัติการของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ คลอง 5 ปทุมธานี 2. การปรับเทียบเวลามาตรฐานผ่านระบบโทรศัพท์ 181 ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ที่มีมาตรฐานเวลาเดียวกับของสถาบันมาตรวิทยาฯ และ 3. การปรับเทียบทางอินเทอร์เน็ต ที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายที่สุด โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ XP หรือ VISTA สามารถคลิกขวาที่เวลาบนแถบ status bar ด้านล่างของจอคอมพิวเตอร์ เลือก Adjust Date/Time แล้วคลิกที่ Internet Time ใส่ช่อง Server ใส่ URL ของสถาบันมาตรวิทยาฯ คือ time 1.nimt.or.th หรือ time2. nimt.or.th หรือ time3. nimt.or.th แล้ว คลิก Update Now ก็สามารถเชื่อมโยงข้อมูล และปรับเวลาในคอมพิวเตอร์ให้เป็นเวลามาตรฐานประเทศไทยได้โดยอัตโนมัติ
ด้าน พลอากาศตรีเพียร โตท่าโรง ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และเป็นสถาบันที่มีหน้าที่จัดทำและรักษาเวลามาตรฐานประเทศไทยตามระบบสากล สิ่งที่สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ กำลังดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานและประชาชนได้ทราบคือ ขณะนี้สถาบันได้จัดให้มีการถ่ายทอดสัญญาเวลามาตรฐานของประเทศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ประชาชนสามารถตั้งเวลาบนเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีเวลาตรงกับเวลามาตรฐานของประเทศได้
“การปรับเวลาให้ตรงตามมาตรฐานประเทศ มีความสำคัญมากสำหรับหน่วยงานที่ให้บริการเข้าถึงโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีหน้าที่ต้องเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ โดยต้องเก็บข้อมูลไว้อย่างน้อย 90 วัน และต้องตั้งเวลาเซิรฟเวอร์คอมพิวเตอร์ให้ตรงกับเวลามาตรฐานด้วย” พล.อ.ต.เพียร กล่าว
ส่วนนายศราวุธ เพชรพนมพร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า หลังจากที่มีข่าวออกถึงกรณีดังกล่าว กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบถึงข้อเท็จจริงไปยังกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และได้ข้อสรุปว่าข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยกรณีนี้ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเวลาก็จะทำให้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างแน่นอน
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
ดารณ๊ โต๊ะสวัสดิสุข รายงาน
บริษัทฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ฮิตาชิ จีเอสที) เปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์รุ่นใหม่ในตระกูล CinemaStar? ที่พัฒนาเพิ่มเติมเพื่อใช้กับเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอล (DVR) และเครื่องรับสัญญาณ (set-top box) ซึ่งได้แก่รุ่น 7K1000.B ที่มีความจุให้เลือกหลายหลาย และสูงสุดถึง 1 เทราไบต์ รวมทั้งรุ่น 5K320 ที่จุข้อมูลได้สูงสุด 320 กิกะไบต์ ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีคูลสปิน (CoolSpin?) อันล้ำสมัยของฮิตาชิ
ฮาร์ดไดรฟ์รุ่นที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีคูลสปินดังกล่าวใช้ระดับความเร็วรอบ (motor speed) ที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดเสียงรบกวนลงได้มาก ทำให้ฮิตาชิสามารถนำเสนอฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 3.5 นิ้ว ที่ทำงานเงียบและประหยัดพลังงานสูงสุดในตลาด ขณะที่เทคโนโลยีคูลสปินช่วยให้เครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลและเครื่องรับสัญญาณสามารถจัดเก็บไฟล์วิดีโอได้มากขึ้น ทำงานเงียบขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง
ฮาร์ดไดรฟ์รุ่นใหม่ในตระกูล CinemaStar จากฮิตาชิมีคุณสมบัติเด่นดังนี้
? กลไกภายในถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
? ใช้เทคนิคการค้นหาแบบสุ่มไร้เสียง (silent-seek) ทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงขณะทำงาน
? ภาวะไม่ใช้งานแบบพลังงานต่ำ (low-power idle mode) ให้เลือก 3 ระดับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด
ในการใช้พลังงานและปล่อยความร้อน
? ใช้โปรโตคอล Smart Command Transport (SCT) และเทคโนโลยี SmoothStream ช่วยเพิ่ม
ประสิทธิภาพของฮาร์ดไดรฟ์เพื่อรองรับการใช้งานออดิโอและวิดีโอสตรีมมิ่ง
? รองรับช่วงระดับอุณหภูมิที่กว้างขึ้น เพื่อให้สอดรับกับเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลแบบที่ไม่มีพัดลมใน
ตัว
? ที่พักหัวอ่าน (ramp load/unload) ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มการป้องกันการกระแทกและช่วย
ประหยัดพลังงาน
? ระบบควบคุมระยะห่างระหว่างหัวอ่าน/เขียนและจานบันทึกโดยใช้เซ็นเซอร์ความร้อน (Thermal Fly-
height Control: TFC) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของฮาร์ดไดรฟ์ระหว่างการเข้ารหัส/ถอดรหัสข้อมูล
วิดีโอเป็นเวลานาน
? ระบบ Bulk Data Encryption (BDE) เสริมประสิทธิภาพการป้องกันไม่ให้ข้อมูลสูญหาย
? เทคโนโลนีการบันทึกข้อมูลแนวดิ่ง (Perpendicular Magnetic Recording: PMR) ที่ผ่านการพิสูจน์
แล้วว่าช่วยให้เกิดความเสถียร ความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของข้อมูลในระดับสูงสุด
CinemaStar 7K1000.B
ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar 7K1000.B เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดจากฮาร์ดไดรฟ์ในตระกูลที่มีความจุระดับเทราไบต์ ความเร็ว 7200 รอบต่อนาที รุ่นที่สองที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดยฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 3.5 นิ้วดังกล่าวมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 160 กิกะไบต์ จนถึง 1 เทราไบต์ ซึ่งได้ประมวลเทคโนโลยีการจัดการพลังานของทั้ง 7 เจเนอร์เรชั่นมาไว้ในหนึ่งเดียว เพื่อให้ได้ฮาร์ดไดรฟ์ประหยัดพลังงานสูงสุดและปล่อยความร้อนต่ำสุดเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในระดับเดียวกัน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี HiVERT ซึ่งนำมาใช้ครั้งแรกกับฮาร์ดไดรฟ์ Travelstar ขนาด 2.5 นิ้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานของฮาร์ดไดรฟ์
ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar 7K1000.B ช่วยให้ผู้ผลิตอุปกรณ์สามารถพัฒนาเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลที่เกิดความร้อนต่ำลงขณะทำงานและใช้พลังงานน้อยลง ส่งผลให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
ฮาร์ดไดรฟ์ในตระกูล CinemaStar ทุกรุ่นใช้เทคนิคการค้นหาแบบสุ่มไร้เสียง (silent-seek) ทำให้ทำงานได้เงียบและใช้ได้แม้ในห้องนอน ส่วนที่พักหัวอ่าน (ramp load/unload) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจดสิทธิบัตรของฮิตาชิ ช่วยป้องกันการสึกหรอของดิสก์และปกป้องดิสก์ในขณะที่ไม่ได้ใช้งาน นอกจากนี้ CinemaStar 7K1000.B ยังพัฒนาขึ้นจากเทคโนโลนีการบันทึกข้อมูลแนวดิ่ง (PMR) ที่ช่วยให้เกิดความเสถียร ความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของข้อมูลในระดับสูงสุด
ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar รุ่นความจุ 1 เทราไบต์ สามารถรองรับการบันทึกไฟล์ MPEG-4 ความละเอียดสูง1 ได้ยาวนานถึง 247 ชั่วโมง และรองรับการใช้งานดาต้าสตรีมมิ่งได้พร้อมกันกว่า 10 รายการ
CinemaStar 5K320
ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar 5K320 จุข้อมูลได้ 320 กิกะไบต์ และมาพร้อมกับเทคโนโลยีคูลสปินเพื่อประสิทธิภาพอีกขั้นในด้านการประหยัดพลังงานและการทำงานของดิจิตอลวิดีโอแอพพลิเคชั่นที่เงียบ หลักการทำงานของคูลสปิน ก็คือ ปรับระดับความเร็วของมอเตอร์ให้เกิดความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน และเสียงขณะทำงาน
ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar ทั้งสองรุ่นที่เปิดตัวใหม่ในครั้งนี้ มีค่าเฉลี่ยของช่วงเวลาที่ฮาร์ดไดรฟ์เสีย (Mean Time Between Failure: MTBF) 3 อยู่ที่ 1.2 ล้านชั่วโมง พร้อมขยายช่วงระดับอุณหภูมิขณะทำงาน เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอล และด้วยค่าการใช้พลังงานขณะอยู่ในภาวะไม่ได้ใช้งานที่ 3.1 วัตต์ ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar 5K320 ช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านการปฏิบัติตามมาตรฐานการใช้พลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์ประเภท consumer electronics และช่วยผู้บริโภคประหยัดค่าไฟ
ตลาดเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไอดีซี (IDC) ประเมินว่ายอดขายฮาร์ดไดรฟ์สำหรับเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลจะขยายตัว 14 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ระหว่างปี 2007-2012 2
แลร์รี สเวเซย์ ประธานฝ่ายการตลาดและกลยุทธ์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ฮาร์ดดิสก์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กรธุรกิจ บริษัทฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ เปิดเผยว่า “ฮิตาชิกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาครั้งใหญ่ในด้านการประหยัดพลังงานจากรุ่นสู่รุ่น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีคูลสปิน ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้กับฮาร์ดไดรฟ์สำหรับบันทึกข้อมูลภาพ/เสียง ฮาร์ดไดรฟ์ในตระกูล CinemaStar ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานกับเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิตอลและเครื่องรับสัญญาณโดยเฉพาะ ซึ่งการทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อน ไร้เสียงดังรบกวน และช่วยประหยัดพลังงานโดยรวม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมาก”
การจัดจำหน่าย
ขณะนี้ ฮาร์ดไดรฟ์ CinemaStar 7K1000.B มีจำหน่ายแล้วที่ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง ส่วน CinemaStar 5K320 จะวางจำหน่ายในเดือนกันยายนนี้
อ่านข้อมูลและงานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับยุคเทราไบต์ (Tera Era) ได้ที่ www.hitachigst.com/TeraEra
รายงานข่าวโดย :นายภูริลาภ เรืองมณี
Malaysian WiMax operator Packet One Networks began commercial services Tuesday, marking another step in the ongoing rollout of the broadband wireless technology.
"Our plan is to target 100,000 subscribers in the next 12 months," said Michael Lai, Packet One's CEO, in a telephone interview.
To achieve that goal, Packet One is pricing WiMax access just below the combined cost of an ADSL (asynchronous digital subscriber line) connection and a fixed-line telephone.
Under a promotional package offered with the launch of the service, a 1.2M bps (bits per second) WiMax link will cost 99 ringgit (US$30) per month, with a 12-month contract. A 2.4M bps connection will cost 229 ringgit under the same terms.
A statement released by the company did not offer an indication of what the service will cost when the promotion ends on Sept. 30.
By comparison, Telekom Malaysia's Streamyx ADSL service costs 99 ringgit per month, including a modem, for a 1M bps connection. A 2M bps connection costs 188 ringgit.
Packet One's pricing isn't bad, but fixed-line and wireless operators need to roll out even faster connections, said Dhillon Andrew Kannabhiran, a security consultant and organizer of the Hack In The Box security conferences, in Kuala Lumpur, Malaysia.
"I'm personally hoping to see speeds in the region of 10Mbps and above," Kannabhiran said. "2M bps and below isn't what I'd call broadband. Sure, it's fine for surfing and downloading mails, but you can forget about streaming video, like Apple TV, with anything less than 8M bps."
Malaysia has seen relatively low penetration of broadband Internet services, with around 18 percent of households having such access, according to Malaysian government estimates.
That number is significantly lower than Asia's most connected markets, such as South Korea and neighboring Singapore, which have penetration rates of 93 percent and 78 percent, respectively.
Malaysia's government is determined to close this gap, hoping to connect 50 percent of households with broadband connections by 2010.
"The increase in broadband penetration is a catalyst to a more robust economy," said Shaziman Abu Mansor, Malaysia's minister of water, energy and communications, according to the transcript of a May speech.
Meeting that target would increase Malaysia's gross domestic product by 1 percent, or 6.7 billion ringgit, and create 135,000 new jobs, he said.
WiMax, alongside other technologies, figures prominently in Malaysia's broadband aspirations. The country has issued four WiMax licenses, using spectrum in the 2.3GHz and 2.5GHz bands. Packet One's service uses the 2.3GHz profile, the same version of the technology used in South Korea.
Packet One's WiMax service is initially aimed at consumers who want fixed-wireless access at home, but the company expects to roll out support for mobile users before the end of this year, Lai said.
Mobile access would require laptop users to have a special USB dongle. Intel, which invested 50 million ringgit in Packet One during May, will start shipping laptop chips that support WiMax later this year, but only in the U.S. These WiMax chipsets, which only support the 2.5GHz profile, will be offered to customers outside the U.S. next year as more WiMax networks come online.
Intel also plans to release versions of the chipset that support the 2.3GHz and 3.5GHz profiles next year.
เปิดศักราชไวแม๊กซ์
อินเทลได้เริ่มเปิดศักราชไวแม๊กซ์ด้วยการแถลงการลงทุนในมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มโครงการไปแล้ว มาตรฐานเครือข่าย 802.16e ซึ่งมาเลเซียน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เริ่มติดตั้งไวแม๊กซ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นทางการ
ซึ่งก็ตามมาด้วยบริษัทที่ผลิตมือถือเช่นโนเกียก็ทำโทรศัพท์มือถือเพื่อรองรับการใช้งานของเครือข่ายไร้สายไวแม๊กซ์
พร้อมกันนี้ ชอง มาโลนีย์ (Sean Maloney) รองประธานกรรมการบริหารบริษัทอินเทลสัมทับอีกว่าปีนี้ 2008 น่าจะมีการใช้ไวแม๊กซ์ซัก 400 แห่ง มีผู้ใช้ประมาณ 150 ล้านคน ในปี 2010 จะมีผู้ใช้ไวแม๊กซ์ 650 ล้านคน และปี 2012 ก็จะมีถึง 1,300 ล้านคน สิ้นปีนี้คงพอจะทราบว่าหมู่หรือจ่า
ซึ่งบริษัทอินเทลก็จะเป็นผู้ผลิตแผงวงจรร่วมรายใหญ่ของมาตรฐานไวแม๊กซ์รายใหญ่ที่สุดของโลก
ในประเทศไทยก็มีค่ายบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่หลายแห่งทำท่าว่าจะกระโดดตามขบวนรถไฟไวแม๊กซ์เช่นเดียวกับมาเลเซีย
ไวแม๊กซ์ (Wimax) เป็นอุปกรณ์สื่อสารไร้สายที่มีหลักการทำงานคล้ายกับไวไฟแต่มีรัศมีทำการกว้างขวางกว่าไวไฟมาก คือไวไฟมีรัศมีทำการ 30 เมตร แต่ไวแม๊กซ์มีถึง 50 กิโลเมตรเพราะฉะนั้นจะสามารถครอบคลุมผู้ใช้งานได้มากกว่ามหาศาล พร้อมทั้งมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลมากได้ถึง 70 Mbps เมกกะบิทต่อวินาที ในขณะที่ไวไฟได้แค่ 54 Mbps ซึ่งไวแม๊กซ์ใช้ช่วงคลื่นที่สูงกว่าคืออยู่ในช่วง 10 ถึง 66 GHz กิ๊กกะเฮิร์ซ แต่ก็สามารถใช้ร่วมกับไวไฟที่ 2 ถึง 11 GHz ได้ด้วย
ในทางทฤษฏีไวแม๊กซ์ จึงดูดีมาก เมื่อมีการพูดถึงไวแม๊กซ์ในวงสัมมนาของโลกยุค 3 จี และก็ยังเลยมาถึงยุค 4 จี เข้าไปในปี 2012 แล้ว คือวางอนาคตไว้ดีและยาวนานมาก แถมยังมีการพูดคุยกันว่าน่าจะถึงขั้นทดแทนเทคโนโลยีเก่าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไวไฟ หรือโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน
แต่ของจริงก็จะมองในแง่ดีทั้งหมดก็คงจะไม่ได้ เพราะการขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ก็จะขึ้นอยู่กับการแข่งขันแย่งตลาดลูกค้าเป็นสำคัญ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีไวแม๊กซ์ซึ่งขณะนี้เดินคู่ขนานไปกับไวไฟ
คุณดีเวน เฮนดริกส์แห่งบริษัท ทีเธอร์เลส เอกเซส ได้กล่าวว่าแม้ไวแม๊กซ์จะดูดีในสาธารณะชนทั่วไปที่อยู่ในยุค 3 จี แต่ในขณะเดียวกันไวไฟซึ่งมีผู้นิยมใช้ติดใจมากก็มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานตลอดโดยเฉพาะด้านการส่งถ่ายข้อมูลจะไม่แพ้ไวแม๊กซ์ ซึ่งไวไฟก็พัฒนาให้อยู่ในระดับยุค 3 จีได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเอาเข้าจริง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็คงใช้ไวไฟเช่นเดิม และคุณเฮนดริกส์ ก็มองว่าไวแม๊กซ์พัฒนาตนเองช้าไปแล้วต๋อย คงจะหาที่ยืนในตลาดได้ยากหน่อย
ณศิริ รายงาน
http://www.networkworld.com/news/2008/081908-malaysias-packet-one-launches-wimax.html?hpg1=bn
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=61606&NewsType=2&Template=1
แอปเปิลรับ แบตช็อตทำไอพ็อดนาโนไฟลุกจริง
หลังจากกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นออกมาให้ข่าวว่า เกิดเหตุไอพ็อดนาโน (iPod nano) 3 เครื่องร้อนจัดจนเกิดไฟลุกไหม้ จากการตรวจสอบเชื่อว่าสาเหตุเป็นเพราะข้อผิดพลาดในแบตเตอรี่ ซึ่งแอปเปิลออกมาให้ข่าวว่า ปัญหาไฟรั่วเกิดในแบตเตอรี่เฉพาะผู้ผลิตรายเดียว
รัฐบาลญี่ปุ่นแถลงว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากปัญหาแบตเตอรี่ร้อนจัดจนไฟลุกไหม้ไอพ็อดนาโน 3 เครื่องที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น แต่แอปเปิลนั้นออกมายอมรับว่า มีผู้ใช้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุไฟไหม้ไอพ็อดนาโนจำนวน 2 ครั้งก่อนหน้านี้ โดยจากการตรวจสอบของรัฐบาลญี่ปุ่น พบว่าไอพ็อดนาโนที่มีความเสี่ยงไฟลุกไหม้ได้แก่ MA004J/A, MA005J/A, MA099J/A และ MA107J/A ซึ่งเป็นรุ่นที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นช่วงเดือนกันยายนปี 2005-2006
รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าการออกแถลงการเรื่องไอพ็อดนาโนครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ชี้นำการสอบสวน แต่จุดประสงค์คือต้องการให้แอปเปิลออกมากล่าวเตือนภัยแก่ผู้บริโภค ล่าสุดแอปเปิลยังยืนยันว่าไม่มีรายงานการบาดเจ็บขั้นร้ายแรง แต่ก็ยินยอมเปลี่ยนเครื่องให้กับผู้ใช้ iPod nano ที่มีความเสี่ยง โดยสามารถติดต่อเปลี่ยนเครื่องที่ศูนย์ให้บริการของแอปเปิลโดยตรง
แอปเปิลไม่ให้ข้อมูลว่า แบตเตอรี่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนั้นเป็นฝีมือของผู้ผลิตรายใด ให้ข้อมูลเพียงว่าเป็นเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตเพียงรายเดียว โดยความคืบหน้าล่าสุดของแอปเปิล คือการประกาศอัปเดทซอฟต์แวร์ในไอโฟนเพื่อแก้ปัญหาข้อบกพร่องที่มีอยู่เดิม
แหล่งข้อมูล : ผู้จัดการออนไลน์
ผู้รายงาน : นายฉัตรพันธ์ นิลกำแหง - edtech.15
นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจซีดีเอ็มเอ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบซีดีเอ็มเอ 2000 1x EVDO ในพื้นที่ 51 จังหวัด ภายใต้ชื่อ “CAT CDMA” เปิดเผยว่า
ขณะนี้ แคท (CAT) เริ่มทำตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเออย่างเต็มที่หลังติดตั้งโครงข่ายแล้วเสร็จ โดยสร้างการรับรู้ผ่านแคท ซีดีเอ็มเอ ช็อป (CAT CDMA SHOP) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ภูเก็ต และนครราชสีมา ส่วนในพื้นที่อื่นจะวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของแคทซีดีเอ็มเอภายในร้านเอ็มลิงค์และบลิสเทล
จุดเด่นของแคทซีดีเอ็มเอ คือ บริการอินเทอร์เน็ตผ่านซีดีเอ็มเอที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลเฉลี่ย 600-1,400 กิโลบิต/วินาที และความเร็วสูงสุด 3.1 เมกะบิต/วินาที ความเร็วในการอัพโหลดข้อมูลเฉลี่ย 500-800 กิโลบิต/วินาที และสูงสุดได้ถึง 1.8 เมกะบิต/วินาที มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา และประชาชนที่ต้องการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ โดยค่าบริการจะขายพ่วงไปกับเครื่องโทรศัพท์และซิม ซึ่งมีค่าบริการในการโทรฯต่ำสุดเดือนละ 149 บาท ส่วนค่าบริการอินเทอร์เน็ตเดือนละ 99 บาท ซึ่งเป็นบริการในแบบรายเดือน (โพสเพด) ส่วนบริการแบบบัตรเติมเงิน (พรีเพด) จะเปิดให้บริการต้นปีหน้า ตั้งเป้าสิ้นปีจะมีลูกค้าประมาณ 1.8 ล้านราย มีรายได้ 600 ล้านบาท จากปัจจุบันมีลูกค้า 8 หมื่นราย
ส่วนปัญหาเรื่องโทรฯข้ามเครือข่ายติดยากและสายหลุด นายจิรายุทธ ชี้แจงว่า กำลังปรับปรุงโดยดึงโครงข่ายในพื้นที่ที่มีการใช้งานน้อยมาเพิ่มในพื้นที่ที่มีการใช้งานมาก
ข่าวจาก : www.arip.co.th
โดย ปวริศา ธีระนังสุ
แสดงความคิดเห็น