วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

News Cards Posting for 20/09

Edtech 15 Please post your News Cards Home works by clicking on "comments"

7 ความคิดเห็น:

yosongkhla กล่าวว่า...

D-Link International หนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านเน็ตเวิร์กรายใหญ่ของโลก ได้เพิ่มคุณสมบัติใหม่เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นสำหรับอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตคาเมร่าในรุ่น DCS-910 และ รุ่น DCS-920 รูปลักษณ์ใหม่ ขนาดกะทัดรัดมีดีไซน์ พร้อมระบบเซ็นเซอร์ 1.0 Lux เทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับการบันทึกภาพวีดีโอในที่มีแสงสว่างน้อย และถ่ายโอนภาพวีดีโอต่อเนื่องเข้าสู่อุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ในแบบ Motion JPEG ได้สูงถึง 30 เฟรมต่อวินาที
“ ด้วยราคาที่สมเหตุผล ของ DCS-910 และ DCS-920 อินเตอร์เน็ตคาเมร่าทั้งสองรุ่นนี้ สามารถช่วยให้ผู้ใช้ได้รับครบทุกคุณสมบัติขององค์ประกอบเพื่อการรักษาความปลอดภัยภายในบ้านและที่ทำงานอย่างเต็มรูปแบบ เพราะด้วยองค์ประกอบเพิ่มเติมของระบบเซนเซอร์ 1.0 Lux การที่สามารถบันทึกภาพวีดีโอต่อเนื่องได้มากถึง 30 เฟรมต่อวินาที ที่ความละเอียดของภาพ 320 x 420 และยังได้รับการออกแบบให้มี สไตน์เฉพาะตัว ด้วยขนาดกะทัดรัด สะดวกต่อการติดตั้งที่ต้องอยู่ในพื้นที่ตามมุมอันจำกัด ” เป็นคำกล่าวของ มิสเตอร์ เดสมอนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของดี-ลิ้งก์ อินเตอร์ เนชั่นแนล พีทีอี แอลทีดี
Wi-Fi Connectivity for Flexible Placement
D-Link DCS-900 ซีรีย์ ในรุ่น DCS-910 และ รุ่น DCS-920 ได้รับการออกแบบอย่างมีดีไซน์เฉพาะตัวด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสีขาวและสีดำที่แตกต่างจากสินค้าประเภทเดียวกันในรุ่นก่อนหน้านี้ และผลิตจากวัสดุชั้นดีที่สะท้อนรสนิยมอย่างประณีตบรรจง ด้วยพื้นผิวที่เรียบไร้รอยต่อ ปราศจากความเทอะทะ นอกจากความล้ำหน้าของการออกแบบแล้ว อุปกรณ์ entry level ในรุ่น DCS-910 ก็เต็มไปด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่ครบถ้วนและเป็นอุปกรณ์อินเตอร์เน็ตคาเมร่าที่เชื่อมต่อ
เข้ากับระบบฟาสต์อีเธอเน็ต 10/100 สำหรับการใช้งานภายในบ้านหรือที่ทำงาน ในขณะที่รุ่น DCS-920 สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายในมาตรฐาน 802.11g และสามารถติดตั้งได้ทั้งพื้นที่บนเพดานหรือผนัง และสนับสนุนระบบรักษาความปลอดภัยแบบ WPA และ WPA2
Security at your fingertips
DCS-920 and DCS-910 สามารถคอนฟิกให้ตรวจจับภาพเคลื่อนไหวที่ผ่านเข้ามาสู่หน้ากล้องได้อัตโนมัติและส่งอีเมลเพื่อแจ้งเตือนและบันทึกข้อมูลที่ได้ลงคอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายของโฮมเน็ตเวิร์คหรือส่งข้อมูลตรงไปยังอุปกรณ์สตอเรจเพื่อการตรวจสอบรายละเอียดของข้อมูลรูปแบบวีดีโอและสามารถกลับมาเปิดซ้ำได้อีก ซึ่งนี่จะเป็นแนวคิดที่จะทำให้ผู้ปกครองสามารถดูแลเด็กในความดูแลของท่านให้อยู่ในสายตา สมาชิกอาวุโสในบ้านหรือผู้บังคับบัญชาในที่ทำงานก็สามารถเข้าถึงการทำงานของอุปกรณ์ได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยอินเตอร์เน็ตโดยการทำงานผ่านเว็บบราวส์เซอร์
อินเตอร์เน็ตคาเมร่าทั้งสองรุ่นนี้มาพร้อมซอฟท์แวร์ D-ViewCam 2.0 ที่จะช่วยตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ในเวลาเดียวกันได้ถึง 32 ตัว อย่างง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก ปราศจากการรบกวนการทำงานระหว่างอุปกรณ์ด้วยกัน ควบคุมการใช้งานด้วยจาวาเว็บบราวส์เซอร์ นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตคาเมร่าทั้งสองรุ่นยังสามารถบันทึกภาพและถ่ายภาพแบบ snapshot และบันทึกข้อมูลที่ได้ลงสู่โลคัลฮาร์ดไดร์ฟได้โดยตรงจากการทำงานผ่านเว็บบราวส์เซอร์
Multi-OS Support
อินเตอร์เน็ตคาเมร่า DCS-920 and DCS-910 ทั้งสองรุ่นของดีลิงก์ สนับสนุนและรองรับการทำงานร่วมกันกับระบบปฎิบัติการไมโครซอฟท์ แมคอินทอช และลินุกซ์
D-Link DCS-900 ซีรีย์ ในรุ่น DCS-910 สำหรับการเชื่อมต่อแบบฟาสต์อีเธอเน็ต และ รุ่น DCS-920 สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายโฉมใหม่นี้ จะมีวางจำหน่ายตามร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของดี-ลิ้งก์ ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดของสินค้าได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือ D-Link call center 0 27198978-9 หรือ เว็ปไซด์ www.dlink.in.th

รายงานโดย : นายภูริลาภ เรืองมณี

chatphan กล่าวว่า...

ไอซีที จับมือ 4 หน่วยงาน กำหนดมาตรฐานสินค้า ไอที ไทย

นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวถึงโครงการส่งเสริมการจัดซื้อคอมพิวเตอร์คุณภาพดี สำหรับหน่วยงานภาครัฐ ว่า กระทรวงไอซีที ได้ร่วมมือกับ 4 หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐสามารถเลือกซื้อคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ให้เป็นไปตามคุณลักษณะพื้นฐานที่กำหนดไว้

“กระทรวงฯ มีหน้าที่กำหนด หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติในการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานภาครัฐ ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องคุณภาพและประสิทธิภาพที่ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ หรือการใช้งาน รวมทั้งยังมีการกีดกันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม เพราะการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่มีข้อจำกัดด้านกฎหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการรับรองของผู้ประกอบการ และการรับรองจากหน่วยงานรับรองของต่างประเทศก็มีต้นทุนค่าใช้จ่ายมากและไม่ได้มีการควบคุมคุณภาพสินค้าในไทย ซึ่งข้อกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติฯของกระทรวงฯนั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางคอมพิวเตอร์ โดยหน่วยงานภาครัฐส่วนใหญ่ได้ระบุมาตรฐานสินค้าที่รับรองโดยหน่วยงานจากต่างประเทศ เช่น FCC หรือ UL จึงส่งผลให้สินค้าไทยที่เป็นแบรนด์ท้องถิ่นไม่สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้”ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าว

นายสือ กล่าวต่อว่า กระทรวงฯได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้มีการกำหนดมาตรฐานรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ในประเทศไทยได้มีการขอรับการรับรอง เพื่อเป็นการยืนยันคุณภาพผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยว่ามีมาตรฐานที่ดีทัดเทียมกับต่างประเทศ

ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวด้วยว่า เพื่อให้โครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ จึงมีการจัดสัมมนาในหัวข้อ “ข้อกำหนดทางเทคนิคของการจัดซื้อคอมพิวเตอร์สำหรับหน่วยงานภาครัฐ” เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจแก่หน่วยงานภาครัฐในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางคอมพิวเตอร์ และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นในแนวทางการปฏิบัติในการเขียนข้อกำหนดการจัดซื้อจัดหาคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานภาครัฐ

“เราหวังว่าโครงการฯนี้ จะทำให้เกิดการกำหนดมาตรฐานรับรองคุณภาพที่เป็นธรรม และผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ได้รับการรับรองจากหน่วยงานรับรองคุณภาพมาตรฐานของไทยว่ามีคุณภาพดี เหมาะกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทย และมีการติดตามตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ทางคอมพิวเตอร์ รวมถึงการส่งเสริมโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันอย่างเป็นธรรมในการจัดซื้อจัดจ้างสินค้า ไอซีที ของหน่วยงานภาครัฐต่อไป”นายสือ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานดังกล่าวได้มีการประกาศรายชื่อบริษัทคอมพิวเตอร์ของไทย ที่ผ่านการรับรองจากศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ บริษัทเอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) บริษัทซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทโพเวล อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ จำกัด นอกจากนี้ยังมีบริษัทคอมพิวเตอร์ของไทย ที่กำลังอยู่ระหว่างรอการรับรองอีก 3 บริษัท ได้แก่ บริษัทเมโทร ซิสเต็มส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทสุพรีม ดิสทริบิวชั่น จำกัด และบริษัทเอเอ็มดี


แหล่งข้อมูล : ไทยรัฐ
http://www.bcoms.net/news/

นายฉัตรพันธ์ นิลกำแหง - edtech'15

araya15 กล่าวว่า...

จุดอ่อน!!! Google Chrome
*******************
หลังจากที่ Google เปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดบราวเซอร์น้องใหม่อย่าง Google Chrome ก็ได้รับความสนใจจากผู้ใช้ทั่วโลกอย่างถล่มทลาย ชนิดที่เรียกได้ว่า เซิร์ฟเวอร์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดถึงกับเดี้ยงไปเลย อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นเวอร์ชันทดสอบเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า มันย่อมมีข้อบกพร่อง หรือคุณสมบัติบางอย่างที่ควรจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข
นายเกาหลาขอข้ามเรื่องของทิปเทคนิคการใช้งานไปก่อนนะครับ ขอลองเล่นอีกสักพัก ตอนนี้มาอัพเดตข่าวเกี่ยวกับจุดอ่อนของการทำงานกันก่อนดีกว่า ล่าสุด Peter Svensson นักเขียนสายเทคโนโลยีจากสำนักข่าว AP ได้ออกมาเปิดเผยประสบการ์ณในการใช้งานว่า บราวเซอร์ Google Chrome มีจุดเด่นในเรื่องเลย์เอาต์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ การจัดวางแท็บไว้ด้านบนสุด ตลอดจนการลดความซับซ้อนของเครื่องมือในการใช้งาน พร้อมเสิร์ฟด้วยหน้าเว็บไซต์ขนาดเล็กที่ทำให้เราทราบว่า เว็บไซต์โปรดของเรามีการอัพเดต หรือเปล่า ก่อนตัดสินใจคลิกเข้าไปดูหน้าเต็มๆ จะได้ไม่เสียเวลา

เหตุผลที่ Google ปล่อย Chrome ออกมาก็คือ พวกเขาต้องการบราวเซอร์ที่สามารถจัดการกับเว็บแอพพลิเคชันต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะเว็บแอพพลิเคชันต่างๆ ของ Google เอง ไม่ว่าจะเป็น Google Doc, Google Spreadsheet ตลอดจน Gmail ซึ่งจะว่าไป บราวเซอร์อย่าง IE ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็สามารถทำงานร่วมกับเว็บแอพฯ เหล่านี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว

คราวนี้มาดูที่จุดอ่อนที่นายปีเตอร์พบระหว่างการทดลองใช้ Google Chrome นั่นก็คือ การทำงานร่วมกับแฟลช(Flash) โดยเขาพบว่า เมื่อเปิดแท็บของเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการใช้แฟลช ซึ่งรวมถึงแฟลชวิดีโอเพลยเยอร์ อย่างเช่นใน YouTube หรือเว็บไซต์วิดีโอต่างๆ ปรากฎว่า Google Chrome จะใช้ cpu time ค่อนข้างมาก แถมยังต้องการทรัพยากรของระบบมากอีกด้วย(สังเกตจาก Processes ของมันใน Task Manager) ปัญหานี้จะเหมือนกับที่พบใน Firefox ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไร นายปีเตอร์ยังแอบหยอดให้ไมโครซอฟท์เล็กๆ ว่า IE8 รุ่นทดสอบ สามารถจัดการกับแฟลชได้ดีกว่า สำหรับคุณผู้อ่านที่ได้ดาวน์โหลดไปลองใช้บ้างแล้ว รู้สึกอย่างไรก็สามารถแสดงความคิดเห็นกันมาได้เลยนะครับ

คำเตือน: ข่าวและบทความในเว็บไซต์ arip.co.th ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดยบริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์พับลิเคชัน จำกัด หากหน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนเว็บไซต์ ต้องการนำข้อมูลทั้งหมด หรือเพียงบางส่วน จักต้องได้รับอนุญาตจากบริษัทฯ เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น หากตรวจพบว่า มีการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า ทางบริษัทฯ จะดำเนินการตามกฎหมาย โดยระวางโทษขั้นสูงสุด!!!

ข้อมูลเพิ่มเติม : sciencemag.org

******************************
Credit : News Online : ไทยโพส
http://www.arip.co.th

รายงานข่าวโดย : นางสาวอารยา เลาหะพันธ์ Edtech15 Code: 51063709

chanokporn กล่าวว่า...

อัสซุส ส่งF8 Series บุกตลาด
รายงานข่าวแจ้งว่า บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ โน้ตบุ๊ก อัสซุส F8 Series ขนาดจอ 14.1 นิ้ว ประมวลผลกราฟิกแบบ 3D พร้อมกล้องเว็บแคม 1.3 ล้านพิกเซล มี 5 เฉดสี ให้เลือก ได้แก่ ดำ ขาว ชมพู น้ำเงิน และแดง สำหรับผู้สนใจพบกับโน้ตบุ๊กอัสซุส F8 Series ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ทั้งนี้ราคาเริ่มต้นที่ 34,900 บาท (ราคานี้ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ข่าวจาก : ไทยรัฐ
โดย : ชนกพร บุญศาสตร์

pavarisa กล่าวว่า...

มร. คริสโตเฟอร์ มอร์แกน รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ เอชพีเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวว่า เพื่อให้ตอบรับกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปัจจุบันและสอดคล้องกับความต้องการของเอชพีที่ต้องการให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใช้งานจริงทุกโปรดักต์ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มีการเปิดตัวขึ้น เอชพีจึงมีการประกาศเปิดตัวรูปแบบร้านค้าใหม่ “HP Alternate Experience Center” ขึ้น โดยการทำงานร่วมกับคู่ค้า

HP Alternate Experience Center จะเป็นช่องทางให้คนทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีของเอชพีได้ง่ายขึ้นผ่านการขยายช่องทางค้าปลีก โดยเอชพีจะนำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นนำทั้งหมดของเราไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์พีซีและเครื่องพิมพ์ร่วมแสดงพร้อมมีพนักงานที่คอยแนะนำตลอดจนสาธิตการใช้งานเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสตลอดจนทดลองใช้งานจริงก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ

เป้าหมายของเอชพีคือเปิด HP Alternate Experience Center โดยการทำงานร่วมกับคู่ค้าให้ได้ 7,500 แห่งในเมืองต่างๆ กว่า 1,000 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยตั้งเป้าเปิดให้ครบ 25,000 ร้านภายในปีพ.ศ. 2553 โดยปัจจุบันประเทศไทยทดลองเปิดร้าน HP Alternate Experience Center แล้วประมาณ 5 แห่ง และถ้ารวมทั่วเอเชียแปซิฟิกเปิดแล้ว 200 แห่ง

“เอชพีชี้นำการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่มักเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ด้วยการยกระดับประสบการณ์ใหม่กับการซื้อสินค้าไอทีผ่านทางร้านค้า รูปแบบใหม่ นอกจากนี้บริษัทฯ ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงเทคโนโลยีของเอชพีได้ง่ายขึ้น”

มร. ซี ชิน เต็ก รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจเพอร์ซัลแนล ซิสเต็มส์ เอชพี เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นกล่าวว่า ศูนย์ HP Alternate Experience Center จะมุ่งนำเสนอประสบการณ์เทคโนโลยีเอชพีที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยการปรับเทคโนโลยีให้กลมกลืนไปกับแนวความสนใจไลฟ์สไตล์ของแต่ละกลุ่ม ซึ่งศูนย์ Alternate Experience Center เหล่านี้จะช่วยเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ช่องทางค้าปลีกที่กำลังขยายตัวของเอชพี

เสริมแกร่งค้าปลีกทั่วเอเชียแปซิฟิก

ในอีก 2 ปีข้างหน้า เอชพีจะทำงานร่วมกับคู่ค้าที่เป็นร้านค้าปลีกในการขยายร้านค้าเพิ่มอีก 7,500 ร้านโดยจะกระจายตัวตามเมืองต่างๆ กว่า 1,000 เมือง ซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในกลุ่มตลาดหลักๆ ที่กำลังเติบโตในประเทศจีน อินเดีย และในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นการเสริมการเติบโตของร้านค้าปลีกของคู่ค้าเอชพีในตลาดที่เติบโตแล้ว โดยภายในปีพ.ศ. 2553 เอชพีจะมีร้านค้าปลีกของคู่ค้าถึง 25,000 ร้านทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งนั่นหมายถึงว่าผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์และเข้าถึงเทคโนโลยีของเอชพีได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เอชพีจะมุ่งขยายร้านค้าปลีกในเมืองที่อยู่นอกเขตเมืองหลวง เช่น เมืองหวูซี (ประเทศจีน) เมืองไจร์ปู (ประเทศอินเดีย) และเมืองปาเลมบัง (ประเทศอินโดนีเซีย) เพื่อให้ผู้บริโภคที่อยู่ในเขตนอกเมืองได้เข้าถึงและรับประสบการณ์จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของเอชพีเช่นเดียวกัน

ศูนย์ HP Alternate Experience Center จะนำเทคโนโลยีของเอชพีไปสู่พื้นที่ต่างๆ ที่กลุ่มผู้บริโภคหลักเหล่านี้เพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อของอยู่แล้ว ทำให้เอชพีสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในจุดที่ไลฟ์สไตล์กับเทคโนโลยีสามารถเดินทางร่วมกัน ทำให้เกิดประสบการณ์การชอปปิ้งที่ถูกใจ เพลิดเพลิน และสะดวกสบาย

โดยในกลุ่มผู้หญิงจะมุ่งไปที่ความสนใจของผู้หญิงที่มีต่อแฟชั่น เอชพีได้ร่วมมือกับดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลก “วิเวียน แทม” เพื่อทำโน้ตบุ๊กรุ่นพิเศษ ดีไซน์ดอกไม้ของโน้ตบุ๊ก HP Vivienne Tam Special Edition represents รุ่นพิเศษนี้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างแฟชั่นและเทคโนโลยี โดยโน้ตบุ๊กนี้จะได้ถูกจัดแสดงที่ร้าน Vivienne Tam บางแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในช่วงต้นปี 2552

ส่วนกลุ่มวัยรุ่น เอชพีได้ร่วมมือกับ Electronic Arts (EA) ซึ่งร่วมออกแบบเกมเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนที่ชื่นชอบเกมเป็นชีวิต โดยทั้งคู่จะร่วมกันเปิดศูนย์EA Experience Center ในฮ่องกง ซึ่งอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊กในศูนย์จะเป็นของเอชพี เครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านี้ได้รับการติดตั้งพร้อมด้วยวอลล์เปเปอร์ ไอคอนเดสก์ท็อป และสกินในธีมเกมต่างๆ นำเสนอประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นตามแบบฉบับศูนย์เกมแห่งนี้ คอเกมจะได้รับประสบการณ์การเล่นที่ดียิ่งขึ้น

ขณะที่กลุ่มครอบครัวซึ่งชื่นชอบการถ่ายภาพ เอชพีได้ร่วมมือกับกลุ่มโรงภาพยนตร์เกาหลี CGV และกลุ่มค้าปลีก Future Group ในอินเดีย เพื่อก่อตั้งศูนย์ภาพ (Photo Centers) ให้เหล่าครอบครัวผู้ชื่นชอบการถ่ายรูปทำอะไรกับภาพดิจิตอลได้มากยิ่งขึ้นด้วยการ พิมพ์ภาพได้ง่ายขึ้น ราคาไม่แพงและปลอดภัย

HP Vivienne Tam Special Edition

เอชพีจับมือ “วิเวียน แทม” แฟชั่นดีไซน์เนอร์ระดับโลกสร้างสรรค์โน้ตบุ๊กรุ่นพิเศษ HP Vivienne Tam Special Edition นับเป็นครั้งแรกของความร่วมมือระหว่างบริษัทคอมพิวเตอร์และดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกโดย “วิเวียน แทม” ร่วมมือกับเอชพี ออกแบบโน้ตบุ๊กรุ่นพิเศษนี้ตั้งแต่ตัวผลิตภัณฑ์ แอคเซสซอรี่เสริมต่างๆรวมถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อสะท้อนความต้องการอย่างแท้จริงของผู้หญิงยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องแฟชั่น แต่ก็ยังคงหลงใหลในเรื่องเทคโนโลยี โดย วิเวียนต้องการให้โดนใจผู้หญิงทุกวัย ทุกชาติ และทุกระดับรายได้ทั่วโลก

ดีไซน์การออกแบบรูปดอกโบตั๋นมีความโดดเด่นจากการผสมผสานความมีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมเอเชียเข้ากับวัฒนธรรมตะวันตก สไตล์เก่าแก่เข้ากับสไตล์สมัยใหม่ และเทคโนโลยีเข้ากับแฟชั่น ดีไซน์ดังกล่าวได้แรงบันดาลใจจากสไตล์ ไชน่า ชีค “ China Chic” ของวิเวียน แทม ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ที่อยู่ในวงการแฟชั่นในมิลานไปจนถึงแวดวงมหกรรมกีฬาโอลิมปิกปักกิ่งเกมส์

“ดอกโบตั๋นเป็นดอกไม้ที่มีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภ ความสุขสมหวัง กลีบดอกมีลักษณะทับซ้อนกันหลายชั้นเปรียบดังผู้หญิงสมัยใหม่ที่ฉลาด รู้จักรแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง”

HP Vivienne Tam Special Edition จะวางตลาดตั้งปี 2552 ซึ่งนอกจาก”วิเวียน แทม” แล้วเอชพีพร้อมที่จะร่วมมือกับดีไซน์เนอร์ทั่วโลก

รายงานโดย นางสาวปวริศา ธีระนังสุ
รหัสประจำตัว 51063705
แหล่งข่าว :http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9510000111259

daranee กล่าวว่า...

Kingston เปิดตัวเมมโมรี่โมดูล
นายแอนน์ ไบ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เมมโมรี่ประเภท DRAM บริษัท คิงส์ตัน เทคโนโลยี อิงค์ กล่าวว่า ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์หน่วยความจำระดับโลกเปิดตัวเมมโมรี่โมดูลรุ่นใหม่ โดยลดไซส์เล็กกว่าเดิม เพื่อสอดรับกับพันธกิจของคิงส์ตันที่มีต่อสังคม ภายใต้แนวคิดช่วยลดอัตราการบริโภคทรัพยากร และผลักดันแนวคิดดังกล่าวให้กลายเป็นสามัญสำนึกพื้นฐานสำหรับประชากรโลก ทั้งนี้ มีผู้บริโภคบางรายได้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตที่คำนึงถึงด้านสุขภาพและความยั่งยืนเป็นหลักหรือ Lifestyles of Health and Sustainability (LOHAS) โดยบางรายยังห่วงใยธรรมชาติสีเขียวโดยลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ขณะที่ปัจจุบันได้เกิดการปลุกสำนึกรักษ์ธรรมชาติสีเขียวขึ้นทั่วโลก อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสภาวะแวดล้อมในยุคปัจจุบัน

ผจก.ฝ่ายผลิตภัณฑ์เมมโมรี่ประเภท DRAM บริษัท คิงส์ตันฯ กล่าวต่อว่า เมมโมรี่โมดูลขนาดเล็กรุ่นดังกล่าว มีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่นก่อน ด้วยขนาดที่เล็กลงทำให้สิ้นเปลืองวัสดุสำหรับใช้ผลิตน้อยลง และเป็นเรื่องที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะขยะอุตสาหกรรมพวกแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์สามารถก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสภาวะแวดล้อม ดังนั้นคิงส์ตันจึงภูมิใจนำเสนอเมมโมรี่โมดูลรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด โดยหวังว่าการก้าวของบริษัทจะส่งผลดีต่อโลกใบนี้เช่นกัน

นายแอนน์ เทคโนโลยี กล่าวด้วยว่า การก้าวล้ำทันสมัยได้ส่งผลให้ชิพประมวลและคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ดังนั้นจึง ได้รับแรงกระตุ้นเพื่อให้ก้าวล้ำนำเทคโนโลยีอยู่เสมอ ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม เมมโมรี่โมดูลขนาดเล็กรุ่นใหม่นี้ทำงานได้เหมือนกับผลิตภัณฑ์รุ่นก่อน และนับเป็นข่าวดีอย่างยิ่งเพราะผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากซิสเต็มที่มีขนาดเล็กลง และยังปล่อยความร้อนน้อยลงกว่าเดิมอีกด้วย อย่างไรก็ ตามเมมโมรี่โมดูลรุ่นใหม่นี้ผลิตตามมาตรฐาน JEDEC โดยลดจำนวนส่วนประกอบที่เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ลง ส่งผลให้ความสูงของตัวโมดูลต่ำลงถึง 40% เมื่อเทียบกับโมดูลที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้

ผจก.ฝ่ายผลิตภัณฑ์เมมโมรี่ประเภท DRAM บริษัท คิงส์ตันฯ กล่าวอีกว่า คิงส์ตันได้เริ่มต้นดำเนินแผนงานในส่วนของ Very Low Profile (VLP) DIMMs รุ่นใหม่สำหรับเทคโนโลยีของเมโมรี่แบบ unbuffered DDR2 Desktop memory SKUs ของผลิตภัณฑ์ ValueRAM และท้ายสุดจะดำเนินการต่อในส่วน System Specific ที่ออกแบบเพื่อการใช้งานเฉพาะซิสเต็ม ทั้งนี้ คิงส์ตันเริ่มใช้มาตรฐาน VLP แล้วในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูง อย่างรุ่น ValueRAM DDR2-800 และ DDR2-667 สำหรับเมมโมรี่โมดูลมาตรฐาน VLP จะมีความสูงเพียง 0.72 นิ้ว (18.3 มิลลิเมตร) ต่ำกว่าเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับมาตรฐาน PCB ที่สูงถึง 1.18 นิ้ว (30 มิลลิเมตร) แต่มีประสิทธิภาพการทำงานเท่าเทียมกัน และมีคุณลักษณะด้านวงจรไฟฟ้า รวมทั้งอินเทอร์เฟซเชื่อมต่อแบบเดียวกัน อนึ่ง คิงส์ตันมุ่งมั่นลดปริมาณขยะอุตสาหกรรมพร้อมตอบรับความต้องการของผู้ที่ห่วงใยธรรมชาติสีเขียวด้วยผลิตภัณฑ์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยรักษาธรรมชาติอย่างยั่งยืนถาวร ทั้งนี้สามรถดูข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.kingston.com/thailand

ข่าวจาก : ไทยรัฐ
โดย : ดารณี โต๊ะสวัสดิสุข

RedAngel กล่าวว่า...

Large Hadron Collider : LHC

ผลการทดลองหาจุดกำเหนิดจักรวาล(CERN)
รอมากว่า 20 ปี ลำโปรตอนแรกสู่เครื่องเร่งอนุภาคใหญ่ที่สุดในโลก

"เซิร์น" กดปุ่มเดินเครื่องแอลเอชซี ยิงบีมแรก ทดสอบลำอนุภาควิ่งครบรอบ ในห้องทดลองยักษ์ใต้ดิน เปิดประเดิมภารกิจไขปริศนากำเนิดจักรวาล ที่นักฟิสิกส์ตั้งตาคอย นับเป็นวันที่หลายคนลุ้นว่า เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

"แอลเอชซี" (Large Hadron Collider : LHC) ที่องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Center for Nuclear Research) หรือชื่อย่อตามภาษาฝรั่งเศสอันเป็นต้นกำเนิดเดิม นามว่า "เซิร์น" (CERN) กำหนดให้วันที่ 10 ก.ย.51 เป็นเวลาแห่งการเดินเครื่อง เพื่อการทดลองค้นหาคำตอบที่นักฟิสิกส์ตั้งคำถามมายาวนาน

ณ เดอะโกลบ อันเป็นห้องรับแขกของเซิร์น บริเวณนอกเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อต้อนรับนักข่าวจากทั่วโลก โดยเซิร์นพร้อมเปิดบ้าน ให้ผู้สื่อข่าวเป็นสักขีพยานในการยิงลำแสงแรก ในช่วงเช้าของเวลาทำการ ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง พร้อมทั้งส่งสัญญาณดาวเทียมสู่สถานีโทรทัศน์ทั่วโลก (หากสถานีใดต้องการ) และยังมีการถ่ายทอดสดผ่านเว็บแคสต์ ให้ได้ชมกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ดูเหมือนว่าการจราจรบนโลกไซเบอร์จะคับคั่งกว่าที่เซิร์นคาดการณ์ไว้ จึงทำให้หลายๆ พื้นที่ไม่สามารถเข้าชมได้ (รวมถึงทีมงานผู้จัดการวิทยาศาสตร์ด้วย)

ทั้งนี้ ในเวลา 09.30 น. หรือ 14.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ลำโปรตอนลำแรกได้ถูกยิงเข้าสู่เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด ซับซ้อนที่สุด และมีมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี กว่าจะได้เดินหน้ายิงลำแสงแรกในวันนี้

เมื่อยิงลำโปรตอนไปแล้ว ต้องรอประมาณ 5 วินาที จึงจะได้ข้อมูลการเดินทางของลำแสง เพื่อวิเคราะห์ต่อไป

อย่างไรก็ดี ในวันแรกของการเปิดใช้เครื่องเร่งอนุภาค หรือ เฟิร์สต์บีมเดย์ (LHC First Beam Day) ครั้งนี้ จะยังไม่มีการชนกันของลำโปรตอนแต่อย่างใด เป็นแค่เพียงการยิงลำแสง 1 ลำเพื่อตรวจสอบดูว่า ลำโปรตอนสามารถเดินทางได้รอบท่อตามที่คำณวนไว้หรือไม่

ส่วนการทดลองยิงลำโปรตอนเพื่อชนกันของอนุภาคครั้งแรกนั้น ทางเซิร์นเปิดเผยว่า คงจะอีกหลายสัปดาห์ถัดจากนี้


“เซิร์น” คำนวณพลาด! แม่เหล็กยักษ์เสียหายก่อนได้ไขปริศนาจักรวาล


ไทม์ออนไลน์/บีบีซีนิวส์/เดอะรีจิสเตอร์ - ก่อนได้ไขปริศนา “บิ๊กแบง” ของจักรวาล “เซิร์น” ก็เจอระเบิดใต้เขตแดนสวิตซ์และฝรั่งเศสเสียก่อน เหตุเกิด

จาก “เฟอร์มิแล็บ” คำนวณการออกแบบแม่เหล็กผิดพลาด คาดการเดินเครื่องครั้งใหญ่อาจต้องเลื่อนออกไปอีกหลายเดือนหลังจากที่กำหนดไว้ปลายปีนี้

“เซิร์น” (CERN) หรือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Organization for Nuclear Research) ซึ่งมีห้องปฏิบัติการด้านฟิสิกส์อนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตรบริเวณรอยต่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เพิ่งจะติดตั้งแม่เหล็กยักษ์ของเครื่องตรวจวัดอนุภาค “ซีเอ็มเอส” (Compact Muon Solenoid: CMS) ไปเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งแม่เหล็กดังกล่าวเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะช่วยไขปริศนา “บิ๊กแบง” หรือกำเนิดจักรวาลได้

ยังไม่ทันที่จะมีการเดินเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เกิดระเบิดขึ้นในอุโมงค์ของห้องปฏิบัติการเมื่อปลายเดือน มี.ค.ทำให้แม่เหล็กยักษ์ตัวหนึ่งของเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ “แอลเอชซี” (Large Hadron Collider: LHC) เสียหาย อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบแรงดันระดับสูง แต่ความไม่สมดุลของแรงจากแรงดันของก๊าซฮีเลียมที่หล่อเย็นภายในอุโมงค์ได้ดันแม่เหล็กที่หนักกว่า 20 ตัน จนเป็นเหตุให้โครงสร้างยึดแม่เหล็กชำรุดและเกิดอุบัติเหตุในที่สุด

“มันเป็นระเบิดนรกจริงๆ ภายในอุโมงค์ที่ติดตั้งเครื่องจักรเต็มไปด้วยก๊าซฮีเลียมและฝุ่น เราต้องเรียกหน่วยดับเพลิงให้เข้ามาอพยพผู้คน คนที่ทำงานทดสอบต้องเผชิญหน้ากับความตาย แต่พวกทั้งหมดก็ไปอยู่ในที่ปลอดภัยและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ” ดร.ลิน อีวานส์ (Dr. Lyn Evans) หัวหน้าโครงการก่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคของเซิร์นเปิดเผยถึงอุบัติเหตุดังกล่าวว่าเป็นการระเบิดที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างมาก และนักวิจัยบางคนก็ได้เห็นการไหลของก๊าซที่เป็นต้นเหตุของการระเบิด

ต้นเหตุจริงๆ ของอุบัติเหตุเกิดมาจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ผิดพลาดในการก่อสร้างแม่เหล็กยักษ์ซึ่งรับผิดชอบโดย ห้องปฏิบัติการเครื่องเร่งอนุภาคแห่งชาติเฟอร์มิ (Fermi National Acceleratory Laboratory) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermilab) ของทบวงพลังงานสหรัฐ แต่ในเบื้องต้นทีมวิจัยยืนยันว่าความผิดพลาดนี้จะไม่มีการโยนความผิดให้กับใคร
อย่างไรก็ดี ปิแอร์ ออดดัน (Pier Oddone) ผู้อำนวยการเฟอร์มิแล็บก็มีท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและกระอักกระอ่วนต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเขามีข้อความถึงทีมงานของเฟอร์มิแล็บว่าพวกเขาได้ทำเรื่องที่น่า “ขายหน้า” ที่สุดบนเวทีโลก

“เราพบความโง่ของตัวเองที่พลาดการสมดุลแรงซึ่งเป็นเรื่องพื้นๆ และไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในการออกแบบทางวิศวกรรม แต่เป็นความผิดพลาดถึง ครั้งที่มีการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2541-2545 ก่อนที่จะมีการลงมือสร้างแม่เหล็กจริงๆ” ผู้อำนวยการเฟอร์มิแล็บกล่าว

และช่างเป็นเรื่องประจวบเหมาะที่เฟอร์มิแล็บได้รับจากการเลื่อนกำหนดเดินเครื่องเร่งอนุภาคของเซิร์น เพราะนักวิจัยของเฟอร์มิแล็บเองก็ตั้งใจที่จะเดินเครื่องเร่งอนุภาค “เทวาตรอน” (Tevatron) ซึ่งเป็นคู่แข่งของเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีแต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทั้งนี้ทีมงานของเฟอร์มิแล็บจะให้พลังงานแก่เทวาตรอนมากขึ้น โดยหวังว่าพวกเขาจะได้ค้นพบอนุภาค “ฮิกก์” (Higgs) ก่อนที่จะเดินเครื่องแอลเอชซี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงกับทำให้ทีมวิจัยของแอลเอชซีค่อนขอดว่าการยืดเวลาออกไปเป็นที่ต้องการของทีมวิจัยจากสหรัฐพอดี

สำหรับเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้นถูกออกแบบสำหรับการชนกันของอนุภาคโปรตอนที่ความเร็วใกล้แสง โดยหวังว่าการชนนี้จะทำให้เกิดอนุภาคใหม่ที่เรียกว่า "ฮิกก์" ตามที่นักทฤษฎีได้คาดการณ์ไว้ และอนุภาคดังกล่าวจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะอธิบายคุณสมบัติของสสาร อาทิ สสารมีมวลและน้ำหนักได้อย่างไร เป็นต้น

แอลเอชซีนั้นประกอบด้วยท่อ 2 ท่อซึ่งเชื่อมต่อกัน แต่ละท่อบรรจุลำอนุภาคโปรตอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้แสงและวิ่งวนอยู่ในท่อด้วยแรงแม่เหล็ก โดยแม่เหล็กเหล่านั้นเป็นแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดซึ่งหมายความว่าจะต้องหล่อเย็นส่วนประกอบทั้งหมดของเครื่องเร่งอนุภาคที่อุณหภูมิ -268 องศาเซลเซียส โดยการเติมฮีเลียมเหลวในท่อ ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องบังคับให้ลำโปรตอนที่มีอนุภาคจำนวนมหาศาลนั้นมีความหนาน้อยกว่าเส้นผม ซึ่งแม่เหล็กที่ทำหน้าที่ดังกล่าวก็ได้ระเบิดไประหว่างการทดสอบแรงดัน

ทดลองเพื่อสนองเพียงความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นหรือ?


ณศิริ รายงาน
แหล่งข่าว : ผู้จัดการ